ผู้จัดการรายวัน360 - ดีนี่ ครองใจคุณแม่นับล้าน ขึ้นแท่นอับดับ 1 ในตลาดสินค้าเด็ก ปลื้มปี64 ครองส่วนแบ่งการตลาด 26% ฝ่าปัจจัยลบ สร้างการเติบโต 6% ล่าสุดคว้าสองครอบครัวดาราเป็นพรีเซนเตอร์ใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ นำโดย “มิว” นิษฐา พรีเซนเตอร์ พร้อม”มาร์กี้-ราศรี” ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งการตลาด 35% ภายใน 2 ปี ปักหมุดยอดขายปีนี้ไว้ที่ 3,500 ล้านบาท โต 20%
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า แบรนด์ ไฟน์ไลน์ ดีนี่ ทรอส บีไนซ์ และโทมิ เป็นต้น เปิดเผยว่า ความสำเร็จตลอด 33 ปีที่ผ่านมา เกิดจากการพัฒนาสินค้าที่ดีผ่านการวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี2564 บริษัทมียอดขายรวมเติบโต 16% จากทั้งหมด 8 แบรนด์ ซึ่งปีที่แล้วเน้นหนักไปทางผลิตภัณฑ์ซักล้าง รวมถึงช่องทางขายผ่านออนไลน์ อย่างแบรนด์ ดีนี่ ที่ขายดีอย่างมาก เพราะพ่อแม่จะระวังการใช้จ่าย แต่พร้อมจ่ายสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อย ขณะที่ดีนี่ทำรายได้อยู่ในสัดส่วน 30% ของรายได้รวม
ด้านนางศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด กล่าวต่อว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา “ดีนี่” ก้าวเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในตลาดสินค้าเด็ก ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26% เพิ่มจาก 23% ถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ ท่ามกลางปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมากมาย
ล่าสุดปี 2565 บริษัทยังมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าคุณภาพออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น กลุ่มผลิตภัณฑ์อาบสระสำหรับเด็กเล็ก Organic Sakura Series เป็นฮีโร่โปรดักซ์ โดยใช้2 ครอบครัว คือ “มิว” นิษฐา - “เซนต์” ธราภุช คูหาเปรมกิจ และ “น้องมาริน เป็นพรีเซนเตอร์กลุ่มผลิตภัณฑ์เบบี้ออร์แกนิค เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีความน่ารักสดใส อารมณ์ดี มีชีวิตชีวา สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ และครอบครัว “ป๊อก” ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์, “มาร์กี้” ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ และ น้องมิก้า-มิญ่า เป็นพรีเซนเตอร์กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มเข้มข้นสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวดีนี่ได้อย่างดี
ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดนั้น จะร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ต่อยอดความแข็งแกร่ง ทำตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง สร้างการรับรู้แบรนด์ให้ครองใจผู้บริโภค ปรับตัวในการทำตลาดให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภค การเสพสื่อที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เวลาดูคอนเทนท์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์
รวมถึงขยายช่องทางจำหน่ายจากออฟไลน์เชื่อมต่อออนไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คุณแม่ยุคใหม่ที่นิยมช้อปปิ้งด้วยปลายนิ้ว ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการมีลอยัลตี้โปรแกรมให้ลูกค้าสะสมแต้มเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ
นางศิริสุภา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดสินค้าเด็กมีมูลค่า 5,200 ล้านบาท ติดลบ10% แนวโน้มปี 2565 อยู่ในระดับทรงตัว ไม่เติบโตหวือหวาเหมือนก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ประกอบกับประชากรเด็กเกิดน้อยลง จึงมีผลกระทบต่อตลาด อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกคือการที่พ่อแม่ยังคงใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลลูกน้อยให้ดีที่สุด และมองหาสินค้าพรีเมียมมากขึ้น
ส่วนในเรื่องของอัตราการเกิดของประชากรเด็กลดลงต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้กระทบกับตลาดสินค้าเด็กมากนัก เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อลูกน้อยเป็นอันดับแรก มองหาสินค้าพรีเมียม ยินดีจ่ายแพงเพื่อให้ลูกน้อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ ตลาดสินค้าเด็กกลุ่มใหญ่สุดคือหมวดเครื่องใช้ส่วนบุคคลมีสัดส่วนประมาณ 76% ตามด้วยเครื่องใช้ในครัวเรือน 24% โดยแบรนด์ดีนี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 26% เพิ่มจาก 23% แบ่งตามรายสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก 71% จาก 68% เป็นเบอร์ 1 ติดต่อกันปีที่ 4 ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก 78% จาก 71% เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันปีที่ 3 และกลุ่มที่ใช้กับผิวพรรณก็เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาด 13% เพิ่มจาก 11% เป็นต้น จากแผนงานดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ายอดขายของดีนี่ในปี 2565 ไว้ที่ 3,500ล้านบาท โต 20% จากปี 2564 มียอดขาย 2,900ล้านบาท โต 10% ส่วนแผนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้าต้องการผลักดันให้ ดีนี่เป็นผู้นำตลาดสินค้าออร์แกนิคสำหรับเด็กครอบคลุมทุกหมวดหมู่