ทาทาสตีลฯชี้รัฐเลิกอุ้มดีเซล ส่งผลต้นทุนผลิตเหล็กพุ่ง400บาท/ตัน จ่อขยับราคาขายเพิ่มขึ้นอีก พร้อม
ตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กงวดปีการเงิน2565/66 โตขึ้น3-5%จากปีก่อนเติบโตเนื่อง แย้มเจาะตลาดส่งออกเหล็กไปยุโรป ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)หรือTSTH เปิดเผยว่าภาพรวมความต้องการใช้เหล็กในไทยช่วง 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.)ในปี2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.3% มาอยู่ที่2.54 ล้านตัน เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาการขาดแคลนแรงงานสถานที่ก่อสร้าง อัตราเงินเฟ้อสูงและความเชื่อมั่นที่ยังอ่อนแอ ทำให้ไทยลดการนำเข้าเหล็กและการผลิตเหล็กในประเทศลง
แต่คาดว่าทั้งปี2565 การบริโภคเหล็กในประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยบริษัทประเมินว่าภาพรวมการบริโภคเหล็กในประเทศปี 2565 อยู่ที่ 18.5- 19 ล้านตัน ขณะที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยคาดการณ์การบริโภคเหล็กในประเทศปีนี้อยู่ที่ 19.5 ล้านตัน ขยายตัวจากปีก่อน 3-4% ดังนั้น ปีนี้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศไทยยังเติบโตอยู่ เป็นผลจากภาครัฐสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค.นี้ หลังรัฐบาลไทยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลลง ทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กของบริษัทปรับขึ้น 300-400บาท/ตัน และอัตราค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ต้องมีปรับขึ้นราคาขายเหล็กอีก หลังจากบริษัทได้ขึ้นราคาขายผลิตภัณฑ์เหล็กไปแล้ว 14-18%เมื่อต้นปี2565
นายราจีฟ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณการขายเหล็กในงบการเงินปี2565/66 (เม.ย.2565-มี.ค.2566)เติบโตขึ้น 3-5%จากปีก่อนที่มีปริมาณการขาย 1.33 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากต้นทุนการผลิตทั้งราคาวัตถุดิบและราคาพลังงานที่สูงขึ้นอันเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาในการส่งออกเหล็กลวดเจาะตลาดยุโรป หลังจากโรงงานเหล็กขนาดใหญ่ในรัสเซียและยูเครนไม่สามารถผลิตได้จากปัญหาสงครามการสู้รบกัน รวมทั้งบริษัทมีแผนส่งออกเหล็กไปยังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในอีก 2-3เดือนข้างหน้านอกเหนือจากส่งออกไปแคนาดาและอินเดีย