เอ็กโก กรุ๊ป อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาทในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าอีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยเตรียมลงทุนผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนในไทยป้อนโรงงานอุตสาหกรรม มั่นใจปีนี้มีกำไรจากการดำเนินงานโตเพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้เต็มปีโครงการโรงไฟฟ้าลินเดน และเอเพ็กซ์ฯ ที่สหรัฐฯ รวมทั้ง 3 โรงไฟฟ้าที่ทยอยจ่ายเชิงพาณิชย์ในปี 65
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตใหม่อีก 1,000 เมกะวัตต์ เน้นประเทศที่บริษัทมีฐานการลงทุนอยู่แล้ว เพื่อเข้าร่วมทุนหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 5,959 เมกะวัตต์ (ไม่รวมเอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาหลายโครงการ
พร้อมกับขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานในรูปแบบ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573 โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2565 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา 8 พันล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ในรูป M&A ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตร และ กฟผ.ศึกษาและพัฒนา “การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงชนิดออกไซด์แบบแข็ง (SOFC) และเทคโนโลยีแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (SOEC)” ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยจุดเด่นด้านการติดตั้งที่ง่ายและยืดหยุ่น การผลิตไฟฟ้าที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ รวมทั้งมีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศและน้ำที่ต่ำมากจนเกือบจะเป็นศูนย์ จึงเป็นการปิดจุดอ่อนของการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทมีแผนที่จะนำร่องการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนในไทยเร็วๆ นี้ ซึ่งปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้แล้วในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ รวมกำลังผลิตประมาณ 600 เมกะวัตต์
สำหรับผลประกอบการในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานแบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน กำลังผลิต 972 เมกะวัตต์ (บริษัทถือหุ้น 28%) และการลงทุนในเอเพ็กซ์คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้งที่สหรัฐฯ และการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ 3 โครงการ ที่จะเปิดดำเนินการและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2565 ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, โรงไฟฟ้าพลังน้ำ-น้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าหยุนหลินในไต้หวัน รวมทั้งปัจจัยบวกจากอัตราค่า Ft ที่ปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้นสูงถึง 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาถ่านหินแตะ 400 เหรียญสหรัฐ/ตันนั้น บริษัทได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ส่งผ่านต้นทุนเชื้อเพลิงไปยังค่าไฟฟ้า คงมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่เป็นการขายไฟฟ้าให้ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบด้านค่าเชื้อเพลิงสูง
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,364 เมกะวัตต์ และได้ต่อยอดความสำเร็จผ่านการถือหุ้น 17.46% ใน “เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หลังจากเอ็กโก กรุ๊ป เข้าไปถือหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา เอเพ็กซ์ได้จำหน่ายโครงการพลังงานลมไปแล้ว 2 โครงการ กำลังผลิต 496 เมกะวัตต์ โดยในปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป รับรู้กำไรจากการดำเนินงานของเอเพ็กซ์ จำนวน 435 ล้านบาท ปัจจุบันเอเพ็กซ์มีโครงการพลังงานสะอาดที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 492 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีกกว่า 42,000 เมกะวัตต์