xs
xsm
sm
md
lg

“บีซีพีจี” กางแผน 5 ปีอัดงบ 9.5 หมื่นล้าน ดันเป้าผลิตไฟฟ้าโตเท่าตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บีซีพีจีเปิดแผนกลยุทธ์ 5 ปี ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าโตเท่าตัวหรือกว่า 2,000 เมกะวัตต์ ด้วยงบลงทุน 95,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดมีรายได้เติบโตขึ้น 25% มาจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น-ไต้หวัน รวมทั้งการควบรวมและซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ 5 ปี BCPG “Running at Lightning Speed” ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าบีซีพีจีวางเป้าหมายขยายการเติบโตขึ้นร้อยละ 100 หรือเติบโตเท่าตัวจากปัจจุบัน ทั้งด้านรายได้ (Revenue) และ กำลังการผลิต (Generation Capacity) จากปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 1,100 เมกะวัตต์ (MW) จะเพิ่มเป็นกว่า 2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 95,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยตั้งไว้ 65,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการลงทุนและได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็วและคุ้มค่าตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทจึงตัดสินใจขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯ มีเงินจากการขายโรงไฟฟ้าดังกล่าวและออกหุ้นกู้รวมประมาณ 30,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินทุน ส่วนที่เหลือจะเป็นการกู้โครงการโปรเจกต์ไฟแนนซ์

“เรามีโครงการและแผนการลงทุนที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้เราได้วางแผนการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกือบ 70,000 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อสร้างความเติบโต (Growth) ค่อนข้างนานกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ซึ่งอาจจะตอบสนองกลยุทธ์การขยายการเติบโตเราได้ไม่ทันการณ์ การขายโครงการฯ จึงเป็นการเพิ่มความสามารถในการลงทุนของเราให้มากขึ้น ทำให้ขยายการลงทุนใหม่เพื่อหารายได้มาทดแทน Adder ที่กำลังจะหมดลงได้ด้วย ทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด” นายนิวัติกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงที่จะขายโครงการโรงไฟฟ้าในมูลค่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,600 ล้านบาท ในขณะที่โครงการมีมูลค่าทางบัญชี 12,295 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 โดยคาดว่าจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพภายในไตรมาสที่ 1/2565


นายนิวัติกล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทฯ ได้มีการตั้งงบลงทุนที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการต่างๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และโคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ โดยในปีนี้จะมีการนำระบบกักเก็บพลังงาน หรือ แบตเตอรี่ ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมถึงคาดว่ามีโครงการที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการมาในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโตขึ้น 25% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 4,669 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าของการพัฒนาในโครงการที่สำคัญของบริษัทฯ ยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังให้ความสำคัญต่อการลงทุนในประเทศแถบเอเชีย และแถบอินโดจีน (Indochina) เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศสูง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนสูง เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล ฯลฯ

“บีซีพีจีตั้งเป้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไต้หวัน ด้วยกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรามีสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนเพิ่มขนาด 1,000 เมกะวัตต์ และสำหรับประเทศไทยเราก็มีแผนเข้าลงทุนโดยการควบรวมกิจการในโครงการที่น่าสนใจ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ และพลังงานลม ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา” นายนิวัติกล่าว

นายนิวัติกล่าวว่า กลยุทธ์การสร้างการเติบโตจากนี้จะเน้นใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิต และจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือแบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะ ให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

บีซีพีจีจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ 4 ด้าน ประกอบด้วย การสร้างความสมดุลในการลงทุน (Balance Portfolio) ด้วยการขยายธุรกิจทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา, การสร้างโอกาสเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ, ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า และต้นทุนทางการเงิน อยู่ในระดับต่ำ (Optimized Funding Cost)

นอกจากนี้ บีซีพีจียังได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอน โดยตั้งเป้าปลูกป่าในประเทศไทย 1,000 ไร่ ใน 2 ปี และทยอยปลูกป่าในประเทศที่เรามีโครงการฯ อีกกว่า 10,000 ไร่ ขณะเดียวกันยังเป็นหนึ่งในผู้จัดตั้ง Carbon Markets Club แพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการแก้ปัญหาโลกร้อนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ตามความสมัครใจอีกด้วย

ปัจจุบันบีซีพีจีมีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2567

ล่าสุดทางบริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) กับ Capital Asia Investments Pte. Ltd. (CAI) (ในฐานะผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทฯ) และกระทรวงการเงิน สปป.ลาว ในนามของรัฐบาล สปป.ลาว (GOL)
การร่วมลงทุนกับ CAI ในวงเงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐในครั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนใน สปป.ลาวผ่านวิสาหกิจถือหุ้นลาว (Lao State Holding Enterprise หรือ LHSE ) และการให้บริการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนแก่ LHSE ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะตกลงกันต่อไป

ในการนี้ บริษัทฯ และ CAI อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะกิจการ (due diligence) และการเจรจาข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาหลักกับ GOL สำหรับธุรกรรมดังกล่าว และเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น