กระทรวงพลังงานเตรียมหารือกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณามาตรการลดภาษีฯดีเซล รับมือน้ำมันโลกพุ่งเกินคาดการณ์ เพื่อช่วยประชาชน หลังกองทุนน้ำมันฯไปต่อไม่ไหวฐานะติดลบแล้ว 8,700 ล้านบาท เหตุอุ้มดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ตรึงแอลพีจี 318 บาทต่อถัง ด้าน สอบ.จี้หยุดใช้เงินกองทุนน้ำมันฯอุ้มดีเซล ควรลดภาษีน้ำมันโดยเร็ว
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อขอพิจารณามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เนื่องจากการล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกสูงเกินคาดการณ์ไว้จากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลายประกอบกับความไม่สงบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปัญหายูเครน และล่าสุด ตุรกีระงับการลำเลียงน้ำมันผ่านท่อส่งที่เชื่อมต่อระหว่างตุรกีและอิรัก จากเหตุระเบิดที่ระบบการขนส่งยิ่งกดดันราคาเพิ่มขึ้น ขณะที่ไทยได้มีนโยบายตรึงดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรและตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) 318 บาทต่อถัง15กิโลกรัม(กก.)จนถึงสิ้นเดือนมี.ค.โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขณะนี้ติดลบแล้ว 8,700 ล้านบาทซึ่งไม่สามารถแบกรับภาระได้ไหว
“ ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานได้เคยหารือกับคลังไปแล้วครั้งหนึ่งเพื่อขอลดภาษีสรรพสามิตดีเซลจากที่เก็บอยู่ 5.99 บาทต่อลิตร ลงมา 1-2 บาทต่อลิตรแต่คลังเองได้ปฏิเสธไปจึงเริ่มหารือกับคลังอีกรอบ เพราะราคาน้ำมันสูงเกินคาดการณ์ กองทุนน้ำมันฯแบกรับภาระไม่ไหว โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เคยมีมติให้เจรจากับ ก.คลังหาเกิดปัญหาราคาแพงเกินคาด ซึ่งในขณะนี้มีความจำเป็นเพื่อร่วมลดภาระให้ประชาชนร่วมกัน”นายวัฒนพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ ก.พลังงานประเมินราคาน้ำมินดิบดูไบไม่เกิน 87.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีที่จะดูแลราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งในขณะนี้ราคาก็ใกล้เคียงแล้ว แต่ก็มีปัญหาอื่นเข้ามาทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าเกินคาดการณ์ ราคาไบโอดีเซล บี 100 ที่ทะลุ 60 บาทต่อลิตร และการใช้ดีเซลของไทยที่มีปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเดือน ธันวาคม 2564 แตะ 70 ล้านลิตรต่อวัน จากเดือน ต.ค.และ พ.ย.อยู่ที่ 52.8 และ 65.2 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งล่าสุด วันที่ 19 ม.ค.65 ราคาดีเซลในเขต กทม.-ปริมณฑล อยู่ที่ 29.84 บาท/ลิตร โดยกองทุนน้ำมันอุดหนุน 2.49 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯล่าสุด 16 ม.ค.65 ติดลบ 8,782 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 15,340 ล้านบาท และเงินบัญชีแอลพีจีติดลบ 24,122 ล้านบาท โดยจากผลกระทบต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้เงินกองทุนน้ำมันไหลออกต่อเดือนกว่า 4,600 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ได้มีการจัดเวทีการสัมมนา 'ราคาน้ำมันพุ่ง ก๊าซหุงต้มแพง วิกฤตมหากาพย์ผู้บริโภค' ระบุว่าราคาน้ำมันและราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลพยายามตรึงราคาด้วยการใช้เงินกองทุนน้ำมันไปชดเชย ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันติดลบเกิน 8,700 ล้านบาทและเตรียมต้องกู้เงินมากถึง 2-3 หมื่นล้านบาทมาจัดการหนี้สินที่เกิดขึ้นนั้น จึงเสนอแนวทางดำเนินการ ไปยังรัฐบาล ได้แก่ คือ 1.ยกเลิกการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันและ แอลพีจีที่ผลิตในประเทศแต่ไปอิงราคาตลาดโลกซ้ำยังบวกค่าใช้จ่ายในการนำเข้าซึ่งเป็นต้นทุนเทียม เสมือนว่ามีการนำเข้าจากต่างประเทศไปเสียทั้งหมด และ 2. ปรับลดภาษีน้ำมันให้เป็นธรรมกับภาวะค่าครองชีพของประชาชนและราคาเชื้อเพลิงตลาดโลกที่สูงขึ้น