“ส.อ.ท.” ลุ้นเปิดประเทศได้ต่อเนื่อง และมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นกำลังซื้อและ ศก.หนุนยอดการผลิตรถยนต์ปี 2565 ของไทยแตะ 1.7-1.8 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 หลังพบประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้น จับตาโควิดกลายพันธุ์ทั้งไทยและต่างชาติ การขาดแคลนชิปยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ลุ้นแพกเกจ EV หนุนการเติบโตการใช้รถ EV ในประเทศเพิ่มปีหน้า
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า แนวโน้มการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2565 ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,700,000-1,800,000 คัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่คาดว่าการผลิตจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1,600,000 คัน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่รัฐบาลได้มีการเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พ.ย. 64 และปลดล็อกมาตรการควบคุมต่างๆ เพิ่มขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ประกอบกับมาตรการของภาครัฐได้กระตุ้นกำลังซื้อให้แก่ประชาชนต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง การดูแลราคาสินค้าเกษตร ฯลฯ
“ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ได้ดำเนินการเปิดประเทศและปลดล็อกกิจกรรมต่างๆ ทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา และมีมาตรการดูแลกำลังซื้อสะท้อนจากงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2021 ระหว่าง 30 พ.ย.-12 ธ.ค.ที่มียอดจองรถยนต์รวม 31,583 คันซึ่งถือว่าเกินเป้าหมาย บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคต และล่าสุดทราบว่ารัฐบาลก็กำลังเตรียมของขวัญปีใหม่มอบแก่คนไทยที่จะนำเข้า ครม. 21 ธ.ค.นี้ จากทุกๆ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ก็เชื่อว่าจะทำให้เพิ่มกำลังประชาชนได้ต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญคือ การเปิดประเทศต้องต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันดูแลป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 เข้มงวดเช่นเดิม” นายสุรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศปี 2564 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับ 750,000 คัน หากเทียบกับปี 2563 ที่อยู่ระดับ 790,000 คันก็ยังคงลดลงเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 แล้วปีนี้ยังเผชิญกับการขาดแคลนชิป และชิ้นส่วนทำให้การผลิตรถยนต์บางรุ่นต้องส่งมอบล่าช้า ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 ที่ยังคงต้องติดตามยังคงเป็นปัญหาเดิมๆ คือ การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ๆ ว่าจะมีมากน้อยเพียงใดทั้งไทยและต่างประเทศ สงครามการค้า รวมถึงปัญหาการขาดแคลนชิปที่ขณะนี้ทั่วโลกยังคงเผชิญกับภาวะขาดแคลนต่อเนื่องเพราะการใช้ค่อนข้างสูงเนื่องจากหลายอุตสาหกรรมต่างหันมาใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นที่ล้วนต้องพึ่งพิงชิป เช่นเดียวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น
สำหรับตลาดรถ EV ของไทยปี 2565 คาดว่าจะมีจำหน่ายอยู่ในระดับ 4,000-5,000 คันจากปีนี้ที่ยอดการขายประมาณ 1,000 กว่าคัน เนื่องจากภาครัฐบาลเตรียมออกแพกเกจมาตรการกระตุ้นการใช้รถ EV โดยคาดว่าจะมีการนำเข้ามาจำหน่ายในระดับราคาต่ำ เช่น 600,000-700,000 บาทต่อคัน โดยคงจะต้องติดตามมาตรการจากภาครัฐใกล้ชิดว่าจะจูงใจมากน้อยเพียงใดเพราะราคารถยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจากผู้ซื้อ พร้อมๆ ไปกับความสะดวกสบายในการหาสถานีชาร์จไฟที่ต้องมีเพียงพอ
“รถ EV เริ่มชัดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และปี 2565 จะเห็นการเข้ามาในตลาดเพิ่มแต่จะมากน้อยเพียงใดก็คงต้องติดตามนโยบายรัฐ และราคารถที่นำมาจำหน่ายว่าจะตอบโจทย์ผู้ซื้อหรือไม่ โดยที่ผ่านมารถ EV สูงเกิน 1 ล้านบาทต่อคันกลายเป็นรถของคนรวยมากกว่าแต่ระยะหลังเริ่มลดต่ำลงไม่ถึงล้านบาท แต่ที่สุดไทยก็ต้องก้าวตามกระแสโลกในการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อม และรถ EV คือหนึ่งในคำตอบ ส่วนกรณีการนำรถยนต์อีโคคาร์มาดัดแปลงเป็นรถ EV นั้นเคยมีการหารือแต่เรื่องได้เงียบไป” นายสุรพงษ์กล่าว