“บี.กริม เพาเวอร์” วางแผนรุกธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มทั้งในและต่างประเทศในปี 65 ทั้งโครงการโซลาร์ลอยน้ำในฟิลิปปินส์ และพลังงานหมุนเวียนในยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมทั้งเจรจากลุ่มเซ็นทรัลติดตั้งโซลาร์รูฟขายไฟฟ้าในราคาต่ำ คาดปี 68 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็นกว่า 7,000 เมกะวัตต์
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทมีแผนลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 7,000 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 2568 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 3,000 เมกะวัตต์
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทสนใจที่จะลงทุนโครงการโซลาร์ลอยน้ำที่ฟิลิปปินส์ รวมทั้งมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมในเวียดนาม ขณะที่เมียนมาก็อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดอยู่เช่นกัน ส่วนยุโรปและอเมริกาเหนือพบว่ามีศักยภาพที่ดีในการลงทุนพลังงานทดแทนอีกมาก หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าลงทุนซื้อขายหุ้น 90% ใน Visa Max Solar Sp.z. เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ZEL1 กําลังการผลิต 14.1 เมกะวัตต์ ในประเทศโปแลนด์ ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2565 และรับรู้รายได้ภายในปี 2566 ขณะเดียวกัน บี.กริม เพาเวอร์ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนอีกจำนวน 2 โครงการในโปแลนด์ กำลังการผลิตรวม 70 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอใบอนุญาตจากทางภาครัฐ
ส่วนในประเทศไทย บริษัทเจรจากับกลุ่มเซ็นทรัลติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ลดการปล่อยคาร์บอนรวมทั้งการตั้งโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้ในราคาต่ำกว่าที่ซื้อจากระบบด้วย
รวมทั้งบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับ 3 การไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อลงทุนทำโครงการร่วมกัน คาดว่าปีหน้าจะประกาศความร่วมมือลงทุนโครงการร่วมกันได้
นานฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หลังจากบริษัทได้รับใบอนุญาตจัดหาและนำเข้า (Shipper LNG) ซึ่งตามแผนจะเริ่มนำเข้าในต้นปี 2566 โดยมั่นใจว่าต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ได้จะต่ำกว่าราคาก๊าซฯ ที่ซื้อจาก ปตท. โดยยอมรับว่าราคาก๊าซฯ LNG ปัจจุบันแม้ว่าจะปรับลดลงบ้างแต่ก็เป็นราคาที่ไม่ต่ำพอที่จะนำเข้ามา ซึ่งบริษัทมีสิทธิซื้อก๊าซฯ จาก ปตท.ได้อยู่ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ที่ทำธุรกิจร่วมกันมานาน 25 ปี ล่าสุดบริษัทยังมีบริษัทร่วมทุนในธุรกิจก๊าซฯ กับ ปตท.ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในอนาคตด้วย
ก่อนหน้านี้ ทางบริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปี 2565 ประมาณ 100,000 ล้านบาทเพื่อใช้สำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปัจจุบัน รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่ปัจจุบันมีการเจรจาอยู่หลายโครงการทั้งในไทย และต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 1,000 เมกะวัตต์