“ราช กรุ๊ป” เร่งปิดดีล M&A โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มอย่างน้อย 1 โครงการภายในสิ้นปีนี้ พร้อมตั้งงบลงทุนปีหน้าราว 1.5 หมื่นล้านบาทเพื่อเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่อีก 700 เมกะวัตต์ โชว์กำไร 9 เดือนแรกปีนี้ 5,649 ล้านบาท โตขึ้น 36%
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่างบลงทุนที่ตั้งไว้ในปี 2564 วงเงิน 15,000 ล้านบาทจะใช้ลงทุนได้ทั้งหมดภายในปีนี้ แม้ว่าช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จะใช้เงินลงทุนไปเพียง 6,701 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีโครงการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่อย่างน้อย 1 โครงการที่จะได้ข้อสรุปในปีนี้
สำหรับผลดำเนินงานที่ผ่านมามีความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ทั้งผลประกอบการที่มีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ และการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตใหม่ก็มีแนวโน้มดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ที่ 8,874 เมกะวัตต์ หรือสูงกว่าเป้าหมายกำลังผลิตใหม่เพิ่มเฉลี่ยปีละ 700 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะรับรู้กำลังผลิตประมาณ 1,054 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,346.35 เมกะวัตต์ ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้าซื้อหุ้น 45.515% จากบริษัท PT Paiton Energy (ไพตัน) ในอินโดนีเซีย ที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,045 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาให้ความเห็นชอบแล้ว และการซื้อหุ้นสามัญและหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.สหโคเจน (ชลบุรี) (SCG) สัดส่วน 51% ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าเอสพีพีระบบโคเจเนอเรชัน กำลังผลิตรวม 214 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 17.10 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 ธุรกรรมดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1 ปี 2565
“บริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนด้วยวิธีเข้าซื้อหุ้นกิจการที่ดำเนินงานแล้วเพื่อให้รับรู้รายได้ทันที และยังสานต่อความเป็นพันธมิตรในการต่อยอดการลงทุนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย นอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้น บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่งใน สปป.ลาว การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและอื่นๆ ไว้ 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ให้บรรลุเป้าหมาย 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568” นางสาวชูศรีกล่าว
ทั้งนี้ ราช กรุ๊ปตั้งงบลงทุนในปี 2565 ประมาณ 15,000 ล้านบาทอยู่ในระดับเดียวกับปีนี้ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ราว 700 เมกะวัตต์ และใช้ลงทุนโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ ส่งผลให้รายได้บริษัทเติบโตขึ้นเฉลี่ยราว 10-20%
สำหรับแหล่งเงินทุนมาจากเงินสดในมือและการกู้ยืมสถาบันการเงินแล้ว บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม โดยสามารถออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐได้อีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดและจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้ง รวมทั้งยังมีแผนเพิ่มทุนราว 30,000 ล้านบาทให้แล้วเสร็จในปีหน้า เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสม
ทั้งนี้ บริษัทกำหนดพอร์ตการลงทุน 5 ปี (2564-2568) เน้นธุรกิจไฟฟ้าสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเพิ่มพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 25% หรือราว 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 จากปีนี้อยู่ที่ 16% และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 40% ในปี 2573 ส่วนไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลักจะเป็นก๊าซฯ อยู่ที่ 5,500 เมกะวัตต์ และถ่านหินไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเมื่อรวมโรงไฟฟ้าไพตัน ที่อินโดนีเซียแล้ว ราชบุรีจะมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 1,900 เมกะวัตต์ ก็คาดว่าจะหยุดการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหินไว้ในระดับนี้
นางสาวชูศรีกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง เพาเวอร์ ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าปี 2565 จะลงนามจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะยาวได้ โดยราคานำเข้า LNG ที่ไม่แตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับราคานำเข้า LNG ที่ ปตท.จัดหามา คาดว่าจะสามารถนำเข้าก๊าซฯ เพื่อทดสอบระบบโรงไฟฟ้าได้ในปี 2566
นอกจากนี้จะเสนอโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4 ที่ สปป.ลาวให้ภาครัฐพิจารณารับซื้อไฟฟ้า หลังจากไทยได้ขยายกรอบรับซื้อไฟฟ้าภายใต้ความร่วมมือไทย-ลาวเพิ่มเป็น 10,500 เมกะวัตต์ คาดว่าโครงการนี้จะถูกบรรจุลงในแผนรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว
นางสาวชูศรีกล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,438.11 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,722.22 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) จากสกุลเงินเหรียญออสเตรเลียอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ หากไม่รวมผลกระทบจาก FX บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 1,592.76 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 5,648.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,157.20 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้การจำหน่ายไฟฟ้ากลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุน ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความก้าวหน้าในการเข้าลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 1,054 เมกะวัตต์ และเมื่อธุรกรรมการลงทุนเสร็จสมบูรณ์จะทำให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มั่นคงและแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้มีการลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทยและ สปป.ลาว มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1,700 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการลงทุนในบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ร่วมกับกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สำหรับภาพรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการผลิตจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักรวม 6,874.14 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 84% และกำลังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวม 1,305.21 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 16% ในปีนี้ บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 7,321.44 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโรงไฟฟ้าสหโคเจน ที่รับรู้กำลังการผลิตจากการลงทุนรวม 123.33 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว อินโดนีเซีย กำลังผลิต 145.15 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้