ผู้จัดการรายวัน 360 -ฟรุตต้า ไบโอเมด ดันบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายสู่อุตสาหกรรมความงาม ร่วมมือกับ LUSH และ Dr.Bronner แบรนด์เครื่องสำอางค์ดังระดับโกลบอล หนุนใช้แพคเกจจิ้งแบบ “Leave Nothing Behind” ย่อยสลายแบบไม่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มประสิทธิภาพด้วยสารเคมีชีวภาพ วางกลยุทธ์จับมืออีกหลายแบรนด์ดังช่วยส่งสาร สู่สังคม อุตสาหกรรม และผู้บริโภคหันมารักษ์โลกอย่างเป็นรูปธรรม
นายรักชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้นำทีมวิศวกรรม บริษัท ฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด เปิดเผยว่า ครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัท ฟรุตต้าไบโอเมด ในการพัฒนาโปรเจกต์ “Leave Nothing Behind” (แพคเกจจิ้งย่อยสลาย ที่ไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง) โดยผนึกกำลังร่วมมือกับ 2 แบรนด์เครื่องสำอางรักษ์โลกชื่อดัง Lush และ Dr. Bronner’s ด้วยการใช้เทคโนโลยีด้านไบโอฟิสิกส์ (BioPhysics) พัฒนาวัสดุและสารเคมีชีวภาพประเภทต่างๆ แก้ปัญหาขยะพลาสติกแก่โลก รวมถึงการผลิตสารสำคัญและส่วนผสมที่สามารถนำมาใช้กับอุตสาหกรรมเวชสำอาง เพื่อลดปัญหาตกค้างของ Micro Plastic เพิ่มคุณสมบัติของสารออกฤทธิ์ที่เป็นส่วนผสม (Active Ingredients) ของครีม สบู่ ต่างๆ ให้ทำงานได้ยาวนาน และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ทีมการตลาด Fruita Biomed ในสหรัฐอเมริกาได้จับมือกับ LUSH (ลัช) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Beauty Hand Made Cosmetic ต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ซึ่งมีนโยบายหลักในต่อต้านการทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ ลดการใช้แพคเกจจิ้ง เน้นให้คุณค่าผลิตภัณฑ์มากกว่าบรรรจุภัณฑ์ และลดการใช้ส่วนผสมจากปิโตรเคมี เช่น พาราเบนให้น้อยที่สุด จึงเกิดเป็นความร่วมมือ Fruita Lush Collaboration Project ผลักดันโครงการ Leave Nothing Behind พัฒนาแพคเกจจิ้งที่ย่อยสลายแบบที่ทิ้งร่วมกับขยะอาหาร โยนลงทะเลหรือแม่น้ำลำคลองก็สามารถย่อยสลายหายไปได้ในระยะเวลาหนึ่งแบบที่ไม่ทิ้งอะไรไว้แก่คนรุ่นหลัง
ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ LUSH ประเภทสบู่ก้อน Bath Bomb , Massage Bar , Jelly Bomb มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายทั้งการกระจายฟองในอ่างอาบน้ำ การผสมน้ำมันหอมระเหยที่มีส่วนช่วยในการนวด โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีแพคเกจห่อหุ้มน้อย เผยให้เห็นผลิตภัณฑ์เด่นชัดและเกิดการสัมผัสกับอากาศตลอดเวลา จึงเป็นอีกโจทย์สำคัญที่ทาง Fruita Bio ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยนำเทคโนโลยีด้านชีวเคมีพัฒนาอนุภาคทรงกลมขนาดเล็ก (Microsphere) ของ PHA ช่วยสกัดกั้นเพื่อให้กักเก็บสารออกฤทธิ์ที่เป็นส่วนผสม (active ingredients) ไว้ได้นานที่สุด ลดขนาดสารสำคัญให้อยู่ในระดับอนุภาคนาโน เพื่อแทรกซึมสู่ผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้น และด้วยคุณสมบัติ PHA ซึ่งปกป้องผลิตภัณฑ์จากแสง การ oxidationกับอากาศ และทำให้คุณค่าของสารสำคัญถูกปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ (slow release) เมื่อสัมผัสกับผิวร่างกายที่มีค่า pH ความเป็นกรด ด่างที่เหมาะสม
นอกจากนี้ในระยะถัดไปฟรุตต้า ไบโอเมดและลัช เตรียมพัฒนาสบู่ก้อน Bath Bomb เปลี่ยนสี โดยใช้วัตถุดิบหลักจากเปลือกมังคุดและบีทรูท ซึ่งการใช้งานผลิตภัณฑ์สามารถสังเกตได้จากสี เมื่ออยู่ในระหว่างการแช่ ขัดผิว สครับ เพื่อชำระล้างเหงื่อไคล น้ำจะมีสีชมพูแสดงสภาวะความเป็นกรดอ่อน และเมื่อทำปฏิกิริยาเสร็จสิ้นสมบูรณ์น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สามารถชำระล้างร่างกายเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงผิวได้ นับเป็นนวัตกรรมที่ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งาน โดยใช้สารเคมีชีวภาพที่ปลอดภัยและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้อุตสาหกรรมเวชสำอาง ปัจจุบันแบรนด์ L'Oréal เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดทั่วโลก ขณะที่แบรนด์ LUSH อยู่ในอันดับที่ 33 ปัจจุบันมีสาขากว่า 900 แห่งใน 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีสาขาส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแบรนด์ได้ตั้งเป้าหมายสู่อันดับ 1 ของอุตสาหกรรมในแง่แบรนด์ที่มีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกมากที่สุด โดยมีภารกิจสำคัญเร่งด่วน 3 ประการที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ 1. ทำผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนต้องการ 2. เป็นอันดับ 1 ในทุกกลุ่มสินค้า และ 3. สนับสนุนการพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เพื่อปกป้องโลก
ขณะที่แบรนด์ Dr.Bronner แบรนด์สบู่เหลว ครีมบำรุงผิว ชื่อดังในอเมริกา มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิค และมีหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจแบบ Fair Trade หรือการคำนึงถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจตั้งแต่ผู้ปลูก ชาวสวน ผู้ผลิต ลูกค้า ไปจนถึงลดการใช้แพคเกจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอีกแบรนด์ที่ได้ร่วมโครงการ Leave Nothing Behind ในการพัฒนาแพจเกจจิ้งที่ย่อยสลาย อีกทั้งได้วางแผนลดการใช้ฉลาก เปลี่ยนเป็นการพิมพ์บนขวดด้วยหมึกจาก Plant Base Printing เพื่อลดปัญหาขยะและคาร์บอนฟุตปรินท์
“สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Cosmeceutical) ทางฟรุตต้าไบโอเมด ยังไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ไปสู่ผู้ใช้เอง แต่มียุทธศาสตร์ในการทำงานร่วมมือกับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญและมีบทบาท ทรงอิทธิพลในการสื่อสารไปยังผู้คน สังคม อุตสาหกรรม และผู้บริโภค โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยี กระบวนการ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ ผนวกกับความหลากหลายทางวัตถุดิบทางชีวภาพของไทย ส่งออกผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่เริ่มต้นจากการใช้ผลิตผลทางการเกษตรไทยไปสู่ตลาดโลกให้ได้มากที่สุด” นายรักชัย กล่าว