xs
xsm
sm
md
lg

“เนรมิตรหนัง ฟิล์ม” อัด 500 ล้านลุยปี 65 ดัน 7 โปรเจกต์หนังโกยรายได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - ค่ายหนังน้องใหม่ “เนรมิตรหนัง ฟิล์ม” อัดงบ 500 ล้านบาทลุยปี 2565 ดันโปรเจกต์หนัง 7 เรื่องออกฉายทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมนำเทคโนโลยีบล็อกเชนพัฒนาธุรกิจหนังไทย

นางสาวกนกวรรณ วัชระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จำกัด เปิดเผยว่า ได้ก่อตั้งบริษัท เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จำกัด เมื่อต้นปี 2564 ด้วยทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตภาพยนตร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ และคอนเทนต์ พร้อมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เพื่อยกระดับมาตรฐานวงการภาพยนตร์ไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาสนับสนุนเพื่อให้อุตสาหกรรมบันเทิงของไทยเติบโตคู่ขนานไปกับโลกการเงินยุคใหม่ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างภาพยนตร์ 7 เรื่องที่จะนำออกฉายทั้งในไทยและต่างประเทศตลอดปี 2565

“เนรมิตรหนัง ฟิล์ม มีจุดเริ่มต้นจากความหลงใหล (Passion) และชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ประกอบกับจุดแข็งที่ทีมงานของบริษัทฯ เติบโตบนรากฐานของการทำการตลาดให้กับบริษัทใหญ่ๆ จึงมีความเชี่ยวชาญในการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์สำหรับการสร้างภาพยนตร์ โดยเราเป็นค่ายหนังที่เปิดรับทุกแนวคิดและให้โอกาสผู้กำกับหน้าใหม่ที่มีฝีมือแต่ขาดพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานมาร่วมงานกับเรา ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทได้มีการจับมือกับพันธมิตรที่เป็นค่ายหนังใหญ่ๆ เช่น บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด, บ้านริก สตูดิโอ รวมถึง Fatcat Studios เพื่อร่วมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ต่อยอดคุณภาพการสร้างภาพยนตร์ไทยให้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น” 


สำหรับแผนการสร้างภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่อง ขณะนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว 3 เรื่อง และอีก 3 เรื่องอยู่ระหว่างการถ่ายทำและรอเปิดกล้อง โดยมีผลงานเรื่องแรกที่พร้อมออกฉายทั่วประเทศในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ คือเรื่อง “4Kings” หนัง Gangster ที่ตีแผ่เรื่องราวชีวิตของนักเรียนอาชีวะในยุค 90s ที่แฝงไปด้วยแง่คิดการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น สำหรับในปี 2565 จะทยอยนำภาพยนตร์ในสต๊อกที่ถ่ายทำไว้ออกฉาย โดยทุ่มงบสื่อโฆษณาทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์เพื่อผลักดันภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่องไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท

“ในยุคที่ธุรกิจหนังไทยกำลังถูกดิสรัปชัน โดยมีวิกฤตโควิดเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนไปอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้เราจึงมีแผนที่จะสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนแพลตฟอร์มดิจิทัล (Platform Economy) ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดในประเทศไทย”


นางสาวกนกวรรณกล่าวต่อว่า สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้บริษัท คือการพลิกโฉมธุรกิจด้วยแนวคิด Digital Transformation ด้วยการควบรวมอุตสาหกรรมบันเทิงเข้ากับโลกการเงินดิจิทัล เพื่อตอบรับเทรนด์ของคนไทยที่มีความนิยมในการลงทุนด้านคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเราจะเป็นค่ายหนังที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงของไทย ทั้งการนำบล็อกเชนมาเก็บข้อมูลที่ได้จากผู้ชมภาพยนตร์ เพื่อให้ทราบความต้องการของผู้ชมแบบเรียลไทม์ และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างขึ้น พร้อมเพิ่มทางเลือกการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี ไม่ว่าจะเป็น ค่าตั๋วหนัง การจ่ายค่าสมาชิกของแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการภาพยนตร์มีอำนาจการต่อรอง และมีโอกาสได้รับค่าตัวเป็นคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมเปิดกว้างให้นักลงทุนที่ต้องการร่วมลงทุนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างภาพยนตร์ ผลิตคอนเทนต์ ผลิตสื่อ ร่วมกับบริษัทอีกด้วย

“สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างซบเซาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ภายหลังจากโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ธุรกิจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าการเปิดประเทศจะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกลับมาเดินหน้าต่อได้ และเราพร้อมจะผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในมิติ Soft Power เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำให้ภาพยนตร์ไทยไปตีตลาดโลกได้อย่างแท้จริง” นางสาวกนกวรรณกล่าวในตอนท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น