xs
xsm
sm
md
lg

5 สำเร็จ กับ 7 ล่าช้า ชักเย่อประเทศไทยไปข้างหน้าหรือถอยหลัง วัดกันที่นายกฯ กล้าทุบโต๊ะหรือไม่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในสถานการณ์วิกฤต ภาวะผู้นำถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะต้องขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณสมบัติหนึ่งที่ผู้นำต้องมี คือความสามารถในการตัดสินใจที่ดี เด็ดขาด รวดเร็ว รู้จังหวะ และชัดเจน

สำหรับประเทศไทยในยามที่โควิดเข้ามากัดกร่อนเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ ผู้นำประเทศย่อมเป็นศูนย์รวมแห่งความหวัง ที่ไม่เพียงต้องพาประเทศชาติและประชาชนรอดพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องช่วยสร้างฐานรากที่จะทำให้องคาพยพไปต่อได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ความพยายามในการบริหารงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในฐานะผู้นำประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงทั้งความกล้าหาญในการตัดสินใจกับเรื่องสำคัญและมีผลกระทบในระยะยาวหลายเรื่อง ให้กลับเข้าที่เข้าทางสู่ภาวะที่ไปต่อได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเล่นบทชักเย่อ ยื้อหน้ายื้อหลัง จนเข้าใกล้ความพังอยู่หลายเรื่อง

5 การตัดสินใจเด็ดขาดที่ทำสำเร็จ

1. ปลดธงแดง ICAO
หลังจากความพยายามในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังตลอดระยะเวลา 2 ปีตั้งแต่ปี 2558 ในที่สุด วันที่ 6 ตุลาคม 2560 องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ก็ได้ปลดธงแดงประเทศไทยออกจากประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการบิน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการกลับคืนสู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินในระดับสากลอีกครั้ง

2. ปราบประมงผิดกฎหมายและไร้ระเบียบ หลุดใบเหลืองไอยูยู
หลังจากใช้ความพยายามยาวนานถึง 4 ปี ในที่สุดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สามารถนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากรายชื่อประเทศที่ทำการประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) โดยสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศปลดใบเหลืองออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการทำประมงของประเทศ ซึ่งกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล คสช.

3. ผลักดันโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ในช่วง 7 ปีของการบริหารประเทศ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงทุนในระบบรางรวมทั้งสิ้น 1,508,648 ล้านบาท แยกเป็นการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ 828,132 ล้านบาท พัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่และทางสายใหม่ 276,559 ล้านบาท และพัฒนาโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง 403,957 ล้านบาท เพื่อพลิกโฉมระบบรางของไทย สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยยกระดับการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ ที่เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนในประเทศ และเป็นปัจจัยที่เรียกการตัดสินใจลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา

4. โครงการเยียวยาประชาชน
อย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤตโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ม.33 คนละครึ่ง เรารักกัน และเราชนะ เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามในการช่วยเหลือและปลดเปลื้องปัญหาปากท้องของประชาชนในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ที่ได้รับการตอบรับที่ดีและเพิ่มรอยยิ้มให้ประชาชนส่วนหนึ่งได้

5. เดินหน้าเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564
จากเป้าหมายที่ประกาศไว้ว่าจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งกำลังจะทำสำเร็จ จากความพร้อมของวัคซีน และความจำเป็นด้านเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ล่าสุดกับการสั่งยกเลิกเคอร์ฟิวใน กทม. และอีก 16 จังหวัด มีผล 23.00 น. คืนวันที่ 31 ต.ค.นี้ พร้อมรองรับการเปิดประเทศ 1 พ.ย. รับนักท่องเที่ยวประเทศเสี่ยงต่ำที่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวจำนวน 46 ประเทศ

7 เรื่องล่าช้า ไม่กล้าตัดสินใจ


1. ทางรถไฟจีน-ลาว
ในขณะที่ลาวพร้อมนำขบวนรถไฟ “ล้านช้าง” เปิดบริการเส้นทางเชื่อมระหว่างจีน-ลาว ในวันชาติ 2 ธ.ค. 2564 แต่รถไฟไทย-จีนสปีดไม่ขึ้น ติดหล่มสัญญา วิกฤตสุดๆ ก็ช่วงผ่านอยุธยาปมมรดกโลก เสี่ยงปรับแนวอ้อมเมือง ค่าก่อสร้างเพิ่มอีกเป็นหมื่นล้านบาท ดีเลย์อย่างน้อย 7 ปี

โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะแรกช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250 กิโลเมตรเพิ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จไปแค่ 1 จากทั้งหมด 14 สัญญา คือ จากกลางดงถึงปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร นอกนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สัญญา เตรียมการก่อสร้าง 3 สัญญา และอีก 4 สัญญาเพิ่งจะเปิดประกวดราคา รัฐบาลไทยวางเป้าหมายว่าจะเปิดเดินรถในส่วนแรกได้ในอีก 6 ปีข้างหน้า

ส่วนระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 356 กิโลเมตร เพิ่งจะอยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบ ยังจะต้องปรึกษาและเจรจากับฝ่ายจีนอีกหลายรอบกว่าจะลงมือก่อสร้างได้ ไม่รู้เส้นนี้เมื่อไรจะไปถึงฝัน

2. ดึงดูดนักลงทุนย้ายฐานการผลิตมาไทย
นโยบายท่าดี แต่ทีเหลว เพราะรัฐบาลไม่ยอมขยับออกไปเชิญชวนคนเข้ามาลงทุนในประเทศ ไม่แม้แต่จะเสนอ incentive จูงใจแบบ “วัดตัวตัดสูท” ทำให้ประเทศต่างๆ ค่อยๆ ทยอยย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศคู่แข่งที่มีแรงงานถูก และสิทธิประโยชน์จูงใจกว่า อย่างเวียดนาม และเมียนมา ล่าสุด ญี่ปุ่นก็ยกฐานผลิตออกจากไทยอย่างต่อเนื่อง จนทำให้จีดีพีไทยต้องติดลบ คนไทยตกงาน ซึ่งความเสียหายครั้งนี้นับได้ไม่น้อย เพราะญี่ปุ่นลงทุนด้านการผลิตนอกประเทศ 40% เป็นการลงทุนในไทยถึง 33% ซึ่งไม่ได้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอย่างเดียว แต่ยังใช้เป็นฐานเพื่อการส่งออกด้วย จึงเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ การย้ายฐานย้ายทุนไปจากไทยจึงส่งผลกระทบถึงรายได้และอัตราการเติบโตของจีดีพีอย่างรุนแรง เมื่อเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไทยทั้งสองเครื่อง คือการส่งออก และการท่องเที่ยว ที่มาจากปัจจัยภายนอกคือการพึ่งพาต่างประเทศ ดิ่งลงทั้งคู่ เศรษฐกิจไทยก็ดิ่งตามไปด้วย

3. ดึงดูดคนมีเงิน 1 ล้านคนเข้าประเทศ
อาจกลายเป็นเพียงนโยบายโปรยยาหอม ที่มีแรงขับเคลื่อนต่ำ เพราะเพียงแค่การออกวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-term Visa: LTV) เพื่อจูงใจมหาเศรษฐีต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวหรือลงทุนในไทย ก็ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดและเงื่อนเวลา แถมด้วยการโต้แย้งที่ยังไม่จบกับประเด็นปลดล็อกให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้

4. ขาดการยกระดับการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
วิกฤตโควิด-19 และการเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย ที่ประเทศไทยควรจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่เน้นสุขภาพอย่างจริงจัง เรื่องนี้พูดกันมานานตั้งแต่ยังไม่เกิดโควิด จนบัดนี้ในเวลาที่ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกำลังล้มฟุบ ก็ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนออกมาจากภาครัฐ เพื่อให้มีความพร้อมในการรองรับการเคลื่อนย้ายคนอย่างอิสระได้อีกครั้ง

5. อีอีซี กับ incentive ที่ไม่เกิด แม้มีอำนาจแต่ไม่กล้าใช้
อีอีซีเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่าน พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ซึ่งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเลขาธิการมีอำนาจเต็มในการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการพัฒนาและแก้ไขอุปสรรคปัญหาต่างๆ ได้อย่างเต็มที่และทันท่วงที สมกับการเป็นเขตเศรษฐกิจที่โดดเด่นของอาเซียน ที่สามารถช่วงชิงการลงทุนจากคู่แข่งได้ แต่เรากลับไม่ได้ใช้กลไกที่มีอยู่นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการส่งเสริมการลงทุนกับโครงการต่างๆ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างที่ควรจะเป็น แถมหลายโครงการควรจะไปได้สวย แต่กลับต้องมาติดปัญหาธุรการและการเจรจาต่อรอง กับการใช้บรรทัดฐานเดียวกับโครงการทั่วไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้เกิดอาการสะดุดเสียเวลาไปต่อ

6. กองทุน Capital gain tax แก้ปัญหาสตาร์ทอัพ
ปัญหาโลกแตกของสตาร์ทอัพไทยที่ไปไม่ถึงฝันที่จะช่วยผลักดันระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็มาจากภาครัฐยังขาดนโยบายในการผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยสามารถเป็นผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคได้อย่างจริงจัง จึงไม่มีมาตรการสนับสนุนด้านเงินทุน แม้แต่การตั้งกองทุนด้านภาษี รวมถึงการสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแนวทางผ่อนปรนสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในประเทศไทย การปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนให้เหมาะสมกับการพัฒนาและการเติบโตของสตาร์ทอัพ เป็นต้น สตาร์ทอัพไทยส่วนหนึ่งจึงต้องหันไปพึ่งใบบุญต่างชาติอย่างสิงคโปร์ ทำประเทศไทยสูญเสียโอกาสมหาศาลไปอีก

7. แก้ปัญหาแหล่งน้ำเกษตรกรไม่ได้
ปัญหาแหล่งน้ำเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ กับข้อจำกัดที่ฤดูแล้งไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้อย่างเพียงพอ ขณะที่ฤดูมรสุมมักเกิดภาวะน้ำท่วมน้ำล้น ไม่ว่าฤดูอะไรพื้นที่เกษตรก็ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถทำการเกษตรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปีหรือเรียกได้ว่าทั้งปี แต่รัฐก็แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวๆ ไป ยังไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะแก้ปัญหาสร้างแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน

7 ปีของรัฐบาล เรื่องดีๆ ที่ทำไว้ใช่ว่าจะน้อย แต่เรื่องที่หย่อนคล้อยคาใจผู้คนก็ยังมี ทุกเรื่องต้องอาศัยความกล้าตัดสินใจของผู้นำประเทศ แม้บางเรื่องมีดีกรีของความเสี่ยงสูงพอๆ กับความสำเร็จ อย่างการตัดสินใจเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ ระหว่างความเสี่ยงที่โควิดจะกลับมาระบาดจนเอาไม่อยู่อีกรอบ แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เพราะประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเขาก็ตัดสินใจเปิดประเทศกันแล้ว เราจึงต้องเข้าไปอยู่ในเส้นออกสตาร์ทจุดเดียวกับเขา เพื่อไม่ให้ประเทศเสียเปรียบ เศรษฐกิจย่ำแย่ไปกว่านี้ ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีมาตรการเข้มงวดปกป้องตัวเราเอง การตัดสินใจครั้งนี้จึงจะลังเล โลเล ล่อกแล่ก ถ่วงความเจริญอยู่ไม่ได้ ถึงมีความเสี่ยง แต่ประเทศไม่เสียเปรียบ ก็นับเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด หากนายกรัฐมนตรีจะใช้เกณฑ์นี้ตัดสินใจเรื่องอื่น ๆ ที่ยังยึกยักอยู่ เอาความเสี่ยงกับความสำเร็จวัดขนาดกันดู ถ้าสูสีแล้วกล้าฟันธงเพื่อประเทศเดินหน้าต่อได้หลายก้าว ก็ควรต้องทำ แสดงภาวะผู้นำที่เฉียบขาด ดีกว่ามัวแต่ห่วงเสียงนกเสียงกา ใครทักทีก็เสียกำลังใจ ใครว่าอะไรก็ไม่ไปต่อ มัวแต่รีรอ โลเล รอฟังแค่เสียงเชลียร์ ระวังกองเชียร์ที่ยังไม่สลาย จะโบกมือบ๊ายบายกันไปหมด


กำลังโหลดความคิดเห็น