xs
xsm
sm
md
lg

“Atome” รุกตลาดไทยสู้โควิด ซื้อก่อนจ่ายหลังแบบไร้ดอกเบี้ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - “Atome” รุกตลาดซื้อก่อนจ่ายทีหลังในตลาดประเทศไทยเต็มรูปแบบ มั่นใจยอดดาวน์โหลดแอปฯ สิ้นปีนี้ที่ 2 แสนราย ตั้งเป้าปีหน้าที่ 2 ล้านราย เผยเป็นอาวุธที่ช่วยร้านค้าและแบรนด์สินค้าเพิ่มยอดขายและปริมาณการขาย ด้านลูกค้าได้ซื้อก่อนจ่ายทีหลังแบบไร้ดอกเบี้ย

นายภูมิพงษ์ ตันเจริญผล ผู้จัดการทั่วไป Atome ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกของไทยลดลงเหลือ 16.4 จากค่าเฉลี่ยที่ 50 นับเป็นตัวเลขต่ำที่สุดตั้งแต่โควิดเริ่มแพร่ระบาด ส่งผลต่อยอดขายในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ตกลงกว่า 70% การใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งยอดซื้อและความถี่ในการซื้อลดต่ำลง

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่ง อะโทมี่ แบรนด์บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (buy now pay later) ผ่านแอปฯ Atome จึงได้ขยายธุรกิจเข้ามาดำเนินการในประเทศไทยเป็นตลาดล่าสุดประเทศที่ 10 โดยเริ่มดำเนินการเดือนกันยายน 2564 ซึ่งถือเป็นรายแรกที่ดำเนินธุรกิจแบบนี้ในไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าที่จะมีผู้ดาวน์โหลดใช้บริการภายในสิ้นปีนี้ประมาณ 2 แสนราย และภายในสิ้นปีหน้าประมาณ 2 ล้านราย


ธุรกิจดังกล่าวผู้บริโภคสามารถเลือกวิธีการซื้อสินค้าและชำระเงินด้วยการแบ่งยอดชำระออกเป็น 3 ครั้ง ครั้งละเท่าๆ กัน โดยไม่คิดดอกเบี้ย และไม่มีค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการรายปี ในการลงทะเบียนเปิดบัญชี ผู้บริโภคเพียงแค่เชื่อมบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่เปิดใช้บริการเข้ากับระบบ นอกจากนี้ Atome ยังช่วยเพิ่มยอดขายและคำสั่งซื้อเฉลี่ยรวมถึงขยายกลุ่มลูกค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ และออฟไลน์

แผนดำเนินการในไทยระยะที่ 1 จะขยายเครือข่ายร้านค้า เน้นพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่, ขยายทีมงานในไทย, เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ และสร้างการรับรู้ BNPL ในตลาด ส่วนระยะที่ 2 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและขยายเครือข่ายร้านค้าจำนวนมาก, เสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกทั่วประเทศไทย, ดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและการเพิ่มฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ถือบัตรเครดิตประมาณ 24 ล้านใบ โดยมีผู้ถือประมาณ 8 ล้านรายเท่านั้น เพราะเฉลี่ยแล้วจะถือคนละ 3 บัตร ขณะที่ผู้ถือบัตรเดบิตนั้นมีประมาณ 1 คนต่อ 1 บัตรอยู่แล้ว ซึ่งจากการให้บริการในต่างประเทศนั้นพบว่าระบบดังกล่าวจะทำให้การซื้อสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปริมาณการซื้อเดิม และโดยเฉลี่ยของมูลค่าการซื้อจะอยู่ที่ 2,000-3,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งจะน้อยกว่าการซื้อผ่านบัตรเครดิตที่มีประมาณหลักหมื่นบาทขึ้นไป โดยที่บริษัทจะตั้งวงเงินให้แก่ลูกค้าไว้ ถ้าเป็นบัตรเดบิตอยู่ที่ 10,000 บาท ส่วนบัตรเครดิตอยู่ที่ 20,000 บาท โดยมูลค่าการซื้อต่อบิลขั้นต่ำที่ 100 บาท


ขณะนี้มีผู้ค้าในไทยเข้าร่วมแล้วมากกว่า 50 แบรนด์ เน้นไปที่กลุ่มสินค้าแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ และอีคอมเมิร์ซต่างๆ และจะทยอยเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแบรนด์สินค้าหรือร้านค้าที่จะเข้าร่วมนั้นแม้ว่าจะต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ แทนลูกค้าแต่ก็จะได้ประโยชน์ตรงที่ระบบนี้จะช่วยทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าในปริมาณและมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นและความถี่ในการซื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้โอกาสสร้างการขายและรายได้ของร้านค้าและแบรนด์มากขึ้นตามไปด้วย

“ตลาด BNPL เป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก คาดว่าไม่ต่ำกว่า 43% ในช่วง 3 ปีจากนี้ และยังได้รับการยอมรับจากร้านค้าและเจ้าของแบรนด์สินค้าและผู้บริโภคต่อเนื่อง และปัจจุบันตลาด BNPL เป็นวิธีการชำระเงินออนไลน์ที่โตเร็วที่สุดในสิงคโปร์ และมีแนวโน้มจะขยายเป็นสัดส่วน 13% ของตลาดการชำระเงินในปี 2567 จากปัจจุบันอย่ํที่ 3% เท่านั้น และการชำระเงินสดที่หน้าร้านยังลดลง 10% ทั่วโลกในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่วนระบบกระเป๋าชำระเงินดิจิทัลเติบโตเพิ่มขึ้นทั่วโลก 7% คิดเป็น 44% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลก

สำหรับ Atome เป็นแบรนด์ภายใต้เครือ Advance Intelligence Group บริษัทสตาร์ทอัพระดับ Series-C ที่ลงทุนและพัฒนาด้าน AI ในเอเชียแปซิฟิก ก่อตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 โดยปรับใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความร่วมมือในการสร้างระบบนิเวศของสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค ธุรกิจและร้านค้า โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ และปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และจีน

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา Atome ได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง และประเทศจีน ปัจจุบันให้บริการตัวเลือกชำระเงินตามจุดชำระเงินในกว่า 5,000 ร้านค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ใน 9 ประเทศ (สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ไต้หวัน, ไทย และจีน) โดยส่วนใหญ่เป็นร้านค้ากลุ่มแฟชั่น ความงาม ท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ แบรนด์พาร์ตเนอร์สำคัญ เช่น ZALORA, Sephora, Agoda, SHEIN, ZARA, Marks & Spencer, Charles & Keith, Aldo, Furla, Pandora และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย โดยร้านค้าสามารถเพิ่มยอดขายกว่า 30% หลังผสานบริการของ Atome เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการชำระเงิน และมีลูกค้าที่จดทะเบียนแล้วทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 20 ล้านราย จากธุรกรรมกว่า 15 ล้านครั้ง ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ




กำลังโหลดความคิดเห็น