ผู้จัดการรายวัน 360 - การทวีความรุนแรงของโรคระบาดโควิด-19 รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ผลักดันให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่หันมาพึ่งช่องทางออนไลน์ที่มอบความคุ้มค่า สะดวกสบาย ชอปได้อย่างปลอดภัยแม้ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ขณะเดียวกัน อีคอมเมิร์ซยังกลายเป็นช่องทางหลักสำหรับผู้ประกอบการในการประคับประคองธุรกิจให้ไปต่อได้
รายงานข่าวจาก ลาซาด้า ประเทศไทยแจ้งว่า ลาซาด้าได้รวบรวมสถิติน่าสนใจจากผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม พร้อมเผยทิศทางอีคอมเมิร์ซเพื่อเป็นแนวทางให้แบรนด์และร้านค้าปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค โดยอินไซต์ที่น่าสนใจของผู้บริโภคในช่วงนี้ เช่น
• ซื้อถี่ขึ้น และใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มยาวนานขึ้นอีกด้วย ลาซาด้าพบว่าปัจจุบันผู้บริโภคใช้เวลาเฉลี่ยบนแอปฯ ต่อเดือนมากกว่า 70 นาที และความถี่ในการเข้ามาใช้งานเฉลี่ยเดือนละ 7 ครั้งต่อคน
• ซื้อเป็นเซตคุ้มกว่าจูงใจมากกว่า เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้ง (Average budget size spending) ของผู้บริโภคลดลงถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับยอดการใช้จ่ายในปี 2563 การจัดผลิตภัณฑ์เป็นเซตพร้อมโปรโมชันช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับสินค้าและบริการ จูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
• ผู้หญิงยังครองแชมป์ แต่นักชอปชายมาแรงไม่แพ้กัน ลาซาด้ามียอดนักชอปหญิงมากถึง 52% ทำให้สินค้าสำหรับผู้หญิง อย่าง สกินแคร์ เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่วนนักชอปชายก็หันมาซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และจำนวนร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าสำหรับผู้ชายก็เติบโตกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2563
• อยู่ที่ไหนก็ซื้อได้ คนต่างจังหวัดก็ซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แรกเริ่มสัดส่วนนักชอปลาซาด้าอยู่ที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ เป็นหลัก แต่ปัจจุบันยอดนักชอปบนแอปฯ มากถึง 85% อาศัยอยู่ต่างจังหวัด เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยได้ปรับตัวหันมาชอปออนไลน์จากการล็อกดาวน์ครั้งแรกจนเกิดปรากฏการณ์ New Normal และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
• สัดส่วนอายุของนักชอปออนไลน์ โดยพบว่าผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Y มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของผู้ใช้งานทั้งหมด
• มั่นใจในแบรนด์ที่มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ จากรายงาน Future Shopper 2021 ของวันเดอร์แมน ธอมสัน คนไทย 82% นิยมซื้อของจากแบรนด์ที่มีร้านทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การมีร้านทั้งสองช่องทางจะช่วยให้แบรนด์ชนะใจผู้บริโภคง่ายขึ้น โดยเฉพาะการขยายไปอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงนักชอปได้ทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมาหลายแบรนด์ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงผู้บริโภคจากการเปิดร้านบน LazMall ปัจจุบันลาซาด้ามีแบรนด์บน LazMall มากกว่า 9,000 แบรนด์ เพิ่มขึ้น 350% จากปี 2563
• สินค้ายอดฮิตยังคงเกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 รวมไปถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำ Home Isolation เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจนจากปลายนิ้ว ถุงขยะสีแดงมีหูผูกสำหรับขยะติดเชื้อ เป็นต้น โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสินค้าในกลุ่มเหล่านี้มีความต้องการเพิ่มมากถึง 70%
• สินค้าดิจิทัล (Digital Goods) มาแรง เช่น บัตรเติมเงินมือถือ บัตรกำนัล ประกัน แพกเกจตรวจสุขภาพ ใบจองคอนโดฯ โดยที่ผ่านมายอดขายแพกเกจตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลต่างๆ บนลาซาด้าเติบโตขึ้นถึง 1,000% สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ และนั่นหมายความว่าในอนาคตไม่ว่าอะไรก็สามารถขายบนช่องทางออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าที่จับต้องได้อีกต่อไป
• นักชอปคาดหวังในบริการด้านการจัดส่งมากขึ้น การจัดส่งสินค้าฟรีจึงเป็นแต้มต่อให้กับร้านค้า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักชอปใช้คูปองจัดส่งสินค้าฟรีบนแอปฯ ลาซาด้าไปแล้วถึง 117 ล้านครั้ง ช่วยผู้บริโภคประหยัดเงินค่าขนส่งไปได้มากถึง 350 ล้านบาท ส่วนผู้ขายที่มีโปรโมชันส่งสินค้าฟรีพบว่ามียอดขายเพิ่มมากขึ้นถึง 40% นอกจากนี้ โครงการอื่นๆ ของลาซาด้า เช่น แคมเปญเลขคู่ หรือฟีเจอร์ชอป 9 บาททุกวัน ก็ช่วยดันยอดขายให้ร้านค้าได้เติบโต 560% ลาซาด้าจึงจัดโปรโมชันส่งสินค้าฟรีในแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแคมเปญ 9.9 Mega Brands Sale เมกะแคมเปญที่จะมาถึงในเดือนกันยายนนี้ พร้อมระบบลาซาด้าโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและครอบคลุมเพื่อช่วยผู้ขายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสนับสนุนให้คนไทยก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน