นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาเซ็นทรัลพัฒนายังคงรักษาความสามารถในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,364 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,269 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน (2563) ที่เป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
แม้ว่าในปีปัจจุบันธุรกิจศูนย์การค้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอกสามที่ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง บริษัทฯ มีแนวทางบริหารความเสี่ยงดังกล่าว โดยนำข้อได้เปรียบในการมีศูนย์การค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้บางศูนย์การค้าในต่างจังหวัดยังคงสามารถเปิดให้บริการได้ พร้อมเร่งพัฒนาการบริการรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า รวมถึงเปิดโอกาสและสร้างยอดขายให้ร้านค้าได้ ประกอบกับการบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดและควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายต่างๆ รักษาระดับกระแสเงินสดและสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเฝ้าติดตาม ทบทวน และปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเป็นหัวใจสำคัญ ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาโดยตลอด
บริษัทฯ ยังคงดำเนินมาตรการดูแลลูกค้า ผ่านแม่บท “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ” ที่เพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในการมาใช้บริการ รวมถึงให้ความช่วยเหลือคู่ค้าและผู้ประกอบการกว่า 15,000 รายทั่วประเทศแบบ 360 องศาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้ส่วนลดร้านค้าตามสถานการณ์จนถึงปัจจุบัน และยกเว้นค่าเช่าสำหรับร้านค้าในประเภทธุรกิจที่มีคำสั่งจากรัฐบาลให้ปิดบริการ รวมถึงการช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยช่วยเหลือคู่ค้าให้เข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูกับพันธมิตรธนาคารชั้นนำ 7 แห่ง อย่างสะดวกและรวดเร็ว ด้วยระบบ Grading สร้าง Credit Score ในฐานะคู่ค้าของเซ็นทรัลพัฒนา พร้อมขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่ม Vendors & Suppliers อีกกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดเพื่อช่วยผลักดันยอดขายร้านค้าทุก Category และการพัฒนาบริการ และแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้เช่าได้ครบทุกมิติ ทั้งในแง่ช่องทางการขาย การเข้าถึงลูกค้า และระบบฐานลูกค้า The1 และแอปพลิเคชัน The1 Biz ที่จะเป็น CRM Tool ให้แก่คู่ค้าได้อย่างครบวงจร รวมทั้งการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย Central Connect ที่เชื่อมโยงทุกบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ได้แก่ บริการ Chat & Shop ผ่าน Line @CentralLife, One Call x One Click, Drive-Thru รวมถึง CENTRAL EAT ร่วมกับ Grab Food และบริการล่าสุด Central Kitchen สั่งได้ทุกช่องทาง อิ่มอร่อยจากเซ็นทรัล
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการทำสัญญาเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยขยายพอร์ต Super Regional Mall ของบริษัทฯ เพิ่มเป็น 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา และเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างอิเกีย รวมทั้งผนึกกำลังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าขยายคอมมูนิตีมอลล์ต่างๆ และพัฒนาโครงการที่ดินบนทำเล CBD ของกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนา ยังคว้ารางวัลใหญ่ระดับเอเชีย “2021 All - Asia Executive Team: Rest of Asia (Asia ex-Mainland China)” จำนวน 4 รางวัล โดยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งจำนวน 3 รางวัล ได้แก่ 1) Best CEO 2) Best CFO 3) Best IR Program (Investor Relations) และรางวัลยอดเยี่ยมอันดับสอง ได้แก่ Best ESG (Environmental, Social, Governance) จาก Institutional Investor สื่อธุรกิจแถวหน้าของสหรัฐอเมริกา สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย และการเป็นองค์กรยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนระดับโลก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และโรงพยาบาลต่างๆ จัดพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนในศูนย์การค้าของบริษัทฯ กว่า 23 แห่งทั่วประเทศ รวมพื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม. โดยจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับเจ้าหน้าที่และประชาชนจำนวนมากได้อย่างไม่แออัด โดยมีการบริหาร Social Distancing อย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนทุกภูมิภาคได้รับการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึงมากที่สุด และรวดเร็วที่สุด
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดูแลช่วยเหลือผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ รวมทั้งเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ในส่วนการขยายการลงทุน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนา 3 โครงการบิ๊กมิกซ์ยูส ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในสิ้นปีนี้ และเซ็นทรัล จันทบุรี ที่เตรียมเปิดภายในกลางปี 2565 นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) บริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
บริษัทฯ ยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาบริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้รวมส่วนที่อยู่ภายใต้บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ