ราช กรุ๊ปเผยโครงการโรงไฟฟ้า IPS กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์ เตรียมยื่นผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเจรจาขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมในนครราชสีมา คาด COD ในปี 66
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่ กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์ว่า โครงการอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาภายในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะเดียวกัน โครงการฯ ได้ดำเนินการเจรจาเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ คาดว่าโรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2566
นอกจากนี้ โครงการยังเตรียมการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าระบบ 115-22 กิโลโวลต์ (kV) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบผลิตไฟฟ้าของโครงการฯ และระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อส่งต่อไปยังลูกค้าอุตสาหกรรมต่างๆ
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่ เป็นโรงไฟฟ้าประเภท Independent Power Supply ตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินงานโดยบริษัท อาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่ จำกัด (REN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างราช กรุ๊ป กับบริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 40, 35 และ 25 ตามลำดับ โดยจะผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในเขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดนครราชสีมา
นายกิจจากล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าอาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่ เป็นโครงการ IPS แรกของบริษัทฯ โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 2,176 ล้านบาท นับว่ามีความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มจากการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเมื่อปี 2562 และเริ่มศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเมื่อปี 2563 และกำลังจะนำเสนอ สผ.ในเร็วๆ นี้ ซึ่งตามแผนงานกำหนดงานก่อสร้างในปี 2565
“โครงการโรงไฟฟ้าอาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่เป็นหนึ่งใน 8 โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง รวมกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 1,237 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2564-2567 และเสริมรายได้และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังหมายมั่นว่าโครงการโรงไฟฟ้าอาร์ อี เอ็น โคราช เอนเนอร์ยี่จะเป็น IPS นำร่องที่จะขยายผลไปยังนิคมอุตสาหกรรมแห่งอื่นๆ ในอนาคต เพื่อช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนยุทธศาสตร์ชาติขับเคลื่อนเดินหน้าได้ต่อเนื่องด้วย” นายกิจจากล่าว