xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดความงามโลกเริ่มฟื้นตัว ลอรีอัล กรุ๊ปโต 20.7% ครึ่งปีแรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - ลอรีอัล กรุ๊ปได้รายงานผลการดำเนินงานรอบครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยเติบโตขึ้น 20.7% ในสถานการณ์โควิด-19 ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามภาพรวมฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย และเติบโตสองหลัก โดยลอรีอัล กรุ๊ปครองส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้นในทุกแผนกและในทุกภูมิภาค และมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดรวม โดยเฉพาะไตรมาส 2 ที่บริษัทฯ มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และสามารถหวนคืนสู่การเติบโตในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิดถึง 6.6% เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2562 และเพิ่มขึ้น 8.4% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562

ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบริษัทฯ ทำให้แบรนด์ต่างๆ สร้างและรักษากลุ่มลูกค้า รวมทั้งพันธมิตร โดยช่องทางอี-คอมเมิร์ซเติบโตในระดับปานกลางที่ 29.2% เนื่องจากช่องทางร้านค้าปลีกสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ ยอดขายอี-คอมเมิร์ซคิดเป็นสัดส่วน 27.3% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่กลุ่มค้าปลีกท่องเที่ยวนั้นได้ฟื้นตัวขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยของการเดินทางระหว่างประเทศ และความสำเร็จในตลาดไหหลำ ขณะเดียวกัน ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวแคมเปญของลอรีอัล กรุ๊ป เป็นครั้งแรกทั่วโลก เพื่อให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจทั้งหมด การเปิดตัว “L'Oréal For Youth” โครงการระดับโลกเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ให้เพิ่มอีก 30%

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ลอรีอัล กรุ๊ปเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก และจะเติบโตในอัตราการขยายตัวระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤต ด้วยการใช้เทคโนโลยี data และ AI เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัท Beauty Tech โดยครึ่งหลังปี 2564 นี้เราจะใช้กลยุทธ์เปิดตัวผลิตภัณฑ์เชิงรุก จะลงทุนในปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตเพื่อกระตุ้นการขยายตัวในอนาคต มั่นใจมากที่จะเติบโตอัตราสูงกว่าตลาด และปีนี้จะประสบความสำเร็จในการเติบโตของยอดขายและผลประกอบการ”


ทั้งนี้ การเติบโตแบ่งตามแผนกธุรกิจ
1. แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 41% จากเทรนด์ในตลาด 3 ส่วน คือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของซาลอนและร้านเสริมสวยต่างๆ การพัฒนาสไตลิสต์ที่เป็นฟรีแลนซ์ และการขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซ
2. แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เติบโต 6.3% โตสูงกว่าตลาด และเติบโตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในจีน บราซิล อินโดนีเซีย และประเทศหลักในยุโรป
ช่องทางอี-คอมเมิร์ซเติบโตมาก สัดส่วน 20% ของยอดขายรวม
3. แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 28.1% โตสูงกว่าตลาดในทุกภูมิภาค จากการกลับมาเปิดให้บริการของหน้าร้านบางส่วน และแผนกนี้ยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งสามประเภทที่มี
4. แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 37.5% โดยมีการปรับผลิตภัณฑ์แบรนด์สกินแคร์ให้ตอบรับกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากกว่าเดิมในช่วงการระบาดของโควิด


สำหรับข้อมูลแบ่งตามโซนภูมิภาค ครึ่งปีแรก พ.ศ. 2564 ลอรีอัล กรุ๊ปได้ปรับการจัดภูมิภาคขึ้นใหม่ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ยอดขายตามโซนภูมิภาครายงานตามการจัดโครงสร้างดังกล่าว โดยภูมิภาคที่จัดขึ้นใหม่ คือ ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียเหนือ SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา

SAPMENA เติบโต 19.9% ประเทศแถบแปซิฟิก และกลุ่มประเทศรอบอ่าวอาหรับเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่สถานการณ์โควิด-19 ในอินเดียยังคงส่งผลกระทบต่อยอดขายในไตรมาส 2 ขณะที่หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังมีการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ส่วนเวียดนามยังเติบโตต่อเนื่อง การเติบโตของตลาด SAPMENA ได้รับแรงหนุนจากแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคจากแบรนด์การ์นิเย่ และเมย์เบลลีน นิวยอร์ก รวมทั้งจากแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงในกลุ่มน้ำหอม และสกินแคร์ และแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีแบรนด์ลา โรช-โพเชย์ช่วยเสริม ขณะที่อี-คอมเมิร์ซเติบโตอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ช่วยผลักดันให้ทุกแผนกเติบโตขึ้นเช่นกัน ส่วนในแอฟริกาใต้ซาฮารานั้นยอดขายตลาดแอฟริกาใต้สูงขึ้นสองหลัก

ส่วนเอเชียเหนือเติบโต 27.3% ขณะที่ยุโรปเติบโต 11.9% (ครอบคลุมถึงยุโรปตะวันตก และยุโรปตะวันออก และเป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป ในแง่ยอดขาย) ทางด้านอเมริกาเหนือเติบโต 23.2% และละตินอเมริกาเติบโต 32.8%


ทั้งนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป มีพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ความงาม 35 แบรนด์ มียอดขายผลิตภัณฑ์ 2.799 หมื่นล้านยูโร ในปี 2563 มีผลิตภัณฑ์จัดจำหน่ายผ่านทุกช่องทาง
ส่วนลอรีอัล ประเทศไทย นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ระดับสากล ใน 4 แผนกผลิตภัณฑ์
1. แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค : ลอรีอัล ปารีส, การ์นิเย่ และเมย์เบลลีน นิวยอร์ก
2. แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง : ลังโคม, ไบโอเธิร์ม, จิออร์จิโอ อาร์มานี, คีลส์, ชู อูเอมระ, อีฟส์ แซงต์ โลรองต์, เออเบิน ดีเคย์ และอิท คอสเมติกส์
3. แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ : ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล และเคเรสตาส
4. แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง : ลา โรช-โพเซย์, วิชี่ และเซราวี






กำลังโหลดความคิดเห็น