ผู้จัดการรายวัน 360 - “พัทยาฟู้ดกรุ๊ป” เล็งปรับแผนในเวียดนาม ปรับไลน์ผลิตสินค้าหันเจาะตลาดเอเซีย เน้นจีนและซีแอลเอ็มวี พร้อมเปิดตัว XTEN ลุยตลาดซีเรียลซูเปอร์ฟู้ดพร้อมทานในไทย มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ดันเป้าภาพรวมปีนี้โต 5% สู้โควิด หวัง 3 ปีรายได้รวมทั้งกลุ่มสู่หมื่นล้านบาท
นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (PFG-Pataya Food Group) ผู้ผลิต และจำหน่ายอาหารทะเล ภายใต้แบรนด์ นอติลุส, มงกุฎทะเล และ ซีคราวน์ และรับจ้างผลิต เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการปรับแผนการผลิตสินค้าของฐานการผลิตในประเทศเวียดนามใหม่ จากเดิมที่เป็นฐานการผลิตประเภท ปูกระป๋อง กุ้งกระป๋อง และปลาแมคเคอเรลกระป๋อง มีตลาดส่งออกหลักไปยังยุโรปและอเมริกา
โดยมีความเป็นไปได้ว่า จะปรับไลน์ผลิตสินค้าใหม่ และหันมาเน้นตลาดส่งออกในเอเซีย โดยเฉพาะจีนกับกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความใกล้เคียงกันกับไทยและเวียดนามในแง่ของวัฒนธรรมการรับประทาน และมีความเข้าใจตลาดเอเซียมากกว่า
การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ว่าจะมียอดรายได้รวมทั้งกลุ่มถึงระดับ1 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปีจากปีพ.ศ.2564นี้ ซึ่งปีที่แล้ว (ปีพ.ศ.2563) มีรายได้รวมประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะเติบโตจากปีที่แล้วประมาณ 5% แม้ว่าจะยังมีสถานการณ์โควิด-19ระบาดก็ตาม โดยมีสัดส่วนยอดขายผลิตและการส่งออกต่างประเทศ (OEM) 80% และ ยอดขายของ OBM (original brand) 20% และตั้งเป้าหมายภายใน3 ปีจากนี้ สัดส่วนของแบรนด์บริษัทจะเพิ่มเป็น 25%
สำหรับแผนธุรกิจในไทย ล่าสุด ได้เข้าสูู่ตลาดอาหารสุขภาพพร้อมทาน(Ready to Eat) แบบซูเปอร์ฟู้ด ( Super Food) เปิดตัวแบรนด์ “เอ็กซ์เทน” เป็น แบรนด์น้องใหม่ของ นอติลุส ด้วยการ สร้างเทรนด์ “XTEN Healthvenient - เอ็กซ์เทน เฮลท์วีเนียน” เพื่อชีวิตที่เร่งรีบพร้อมดูแลสุขภาพ สำหรับวัยต่างๆ โดยใช้คอนเซปต์ 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ “ซูเปอร์ฟู้ด” ซึ่งเป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่แพร่หลายไปทั่วโลก ที่มีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และ ส่วนที่สอง คือ การนำไอเดีย “High-Low” มาใช้เป็นแกนในการทำวิจัย และ พัฒนาอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายและกำจัดสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกาย แบบอาหารพร้อมทานปรุงสะดวกใน 2 นาที ลดโซเดียมลง 50% มีน้ำตาลน้อยกว่า ไม่ใส่ผงชูรส และไม่ใส่วัตถุกันเสีย ถึง 4 สูตร คือ
กลุ่มคาวคือ NAUTILUS XTEN: WILD RED SALMON โอ๊ตมีลผสมมัลติเกรน เรดแซลมอน สูตรลดโซเดียม 50% และ NAUTILUS XTEN: TRIPLE MUSHROOM โอ๊ตมีลผสมมัลติเกรน เห็ดรวมและผักโขม สูตรลดโซเดียม 50% ราคา 45 บาทต่อถ้วย และกลุ่มหวานคือ NAUTILUS XTEN: DARK CHOC & ALMONDS โอ๊ตมีล ดาร์กช็อกพร้อมอัลมอนด์ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 50% และ NAUTILUS XTEN: MIXED BERRIES โอ๊ตมีล มิกซ์เบอร์รี่ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 50% ราคา 35 บาทต่อถ้วย
ขณะนี้เริ่มวางตลาดแล้วทัังออฟไลน์ เน้นซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ กูร์เม่ต์มาร์เก็ต วิลล่ามาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ เลมอนฟาร์ม โกลเด้นเพลซ เป็นต้น และช่องทางออนไลน์ เช่น ลาซาด้า ช้อปปี้ Line my shop และ Nautilusonlineshop.com และปลายปีนี้จะเริ่มขยายช่องทางคอนวีเนียนสโตร์และไฮเปอร์มารเก็ต วางเป้าหมายปริมาณการขายไว้ประมาณ 10 ล้านถ้วยใน 3 ปีแรกนี้ สัดส่วนยอดขายในประเทศ ระหว่าง ออฟไลน์ 60% และออนไลน์ 40%
นางสาวสุดาทิพ กล่าวด้วยว่า ตลาดRTE Cereal ในไทยปีนี้คาดวาจะมีมุูลค่า ประมาณ 3,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 3-4% ต่อปี จากตลาดซีเรียลอาหารเช้าในปี 2563 เติบโตมูลค่า 4% มูลค่า 2,700 ล้านบาท โดยมูลค่าขายปลีก CAGR 5% ในช่วงระยะเวลาคาดการณ์ (มูลค่าคงที่ 3% CAGR) ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับตลาดรวม RTE Cereal ในจีนที่มีมูลค่าสูงถึง 178,711 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 6%
“ตลาดอาหารพร้อมทานเพื่อสุขภาพ เป็นเซกเมนต์หนึ่งที่ยังสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้คนยุคใหม่ให้ความใส่ใจในการดูแลตัวเองและครอบครัว โดยเน้นอาหารที่มีคุณค่าและดีต่อสุขภาพ เพื่อให้มีความแข็งแรงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันปัจจัยเรื่องราคาที่สมเหตุสมผลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ต้องคิดเผื่อให้ผู้บริโภคด้วย สิ่งหนึ่งที่อาหารพร้อมทานต้องทำคือใช้ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน มาปรับแผนงานเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน แต่ยังคงมุ่งนำเสนอสินค้าคุณภาพและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคต่อไป” นางสาสุดาทิพ กล่าว