xs
xsm
sm
md
lg

บีเจซี โกยกำไรไตรมาสแรก 641 ล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360 - บีเจซี เผยกำไรไตรมาสแรก ปี 64  1.01 พัน ลบ. โดยมีปัจจัยบวกจากกำไรขั้นต้นกลุ่มบริษัทเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง

นางสุจิตรา วิชยศึกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2564 มีรายได้รวม 35,616 ล้านบาท ลดลง 6,712 ล้านบาท หรือ 15.9% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมลดลงจากยอดขายและรายได้ค่าบริการที่ลดลงจากธุรกิจรวม อยู่ที่ 32,520 ล้านบาท ลดลง 5,963 ล้านบาท หรือ 15.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลดลงของยอดขายในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่

แต่อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์และกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค และค่าใช้จ่ายรวมในไตรมาส 1/64 ลดลง 15.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุการลดลงจาก ต้นทุนขายซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายที่ลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง

ยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 1,926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาท หรือ 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเพราะยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเทคนิค แม้จะยังคงได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าเวชภัณฑ์บางกลุ่มที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากยอดขายของร้านขายยาตามห้างสรรพสินค้า ในส่วนของกลุ่มธุรกิจเทคนิค ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มลดน้อยลงในไตรมาสแรกของปีนี้

ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ยอดขายไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 4,571 ล้านบาท ลดลง 467 ล้านบาท หรือคิดเป็น9.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดน
 


ด้านยอดขายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 4,971 ล้านบาท ลดลง 609 ล้านบาท หรือ 10.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากกลุ่มธุรกิจอุปโภคและกลุ่มธุรกิจต่างประเทศได้ประโยชน์จากการกักตุนสินค้าของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการประกาศใช้มาตรการจำกัดด้านการเดินทาง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/63 ยอดขายลดลงเล็กน้อย 17 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.4% แต่อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ รายได้รวมในไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 24,966 ล้านบาท ลดลง 5,598 ล้านบาท หรือ 18.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 22,022 ล้านบาท ลดลง 4,947 ล้านบาท หรือ 18.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง อยู่ที่ติดลบ 21.6% ในไตรมาส 1/64 จากผลกระทบของโควิด-19 และผลกระทบจากการให้ส่วนลดค่าเช่ากับผู้เช่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรก รวมถึงอัตราการเช่าที่ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1/64 กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงมุ่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยได้เปิดมินิบิ๊กซี 18 สาขา แต่มีการปิดมินิบิ๊กซี 2 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวนสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด 152 สาขา (บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า) บิ๊กซีมาร์เก็ต 61 สาขา (บิ๊กซีมาร์เก็ต บิ๊กซี ฟู้ดเพลส และบิ๊กซีดีโป้) มินิบิ๊กซี 1,231 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ 61 สาขา) และร้านขายยาเพรียว 144 สาขา

กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 1/64 เท่ากับ 1,013 ล้านบาท ลดลง 267 ล้านบาท หรือ 20.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/63 ลดลง 341 ล้านบาท หรือ 25.1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักเกิดจากกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ตามเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น