“ศักดิ์สยาม” รับนโยบาย "นายกฯ" เปิดพื้นที่สถานีกลางบางซื่อกว่า 1.3 หมื่น ตร.ม. ให้ฉีดวัคซีนโควิดแบบวอล์กอิน 1 มิ.ย. แค่โชว์บัตรประชาชน คาดฉีดได้กว่า 1 หมื่นคนต่อวัน โดยนำร่อง 24-31 พ.ค.ขนส่งสาธารณะ "รถไฟ-เรือ-ขสมก.-แท็กซี่-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" ฉีดก่อน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนวอล์กอิน (Walk in) ว่า เรื่องนี้เป็นไปตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยจากการหารือและประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่าทางคมนาคมจะเปิดสถานีกลางบางซื้อพื้นที่ชั้น 1 และชั้นลอย กว่า 13,500 ตารางเมตร เป็นศูนย์บริการฉีดวัคซีนเพื่อบริการประชาชน บุคลากรด่านหน้า และผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท ในเขต กทม.และปริมณฑล ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้รับผิดชอบวัคซีนและบุคลากรทางการแพทย์ที่จะมาให้บริการในแต่ละวัน
ส่วนกระทรวงคมนาคมจะรับผิดชอบในเรื่องสถานที่ เจ้าหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่มาฉีดวัคซีน ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับประชาชนที่รับบริการกว่า 10,000 คน/วัน และจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 24-31 พ.ค.ในเวลา 09.00-20.00 น. ให้กับผู้ปฏิบัติงานให้บริการด่านหน้า และตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไปจะเปิดให้บริการประชาชนทั่วไปแบบวอล์กอิน ในวันและเวลาดังกล่าวทุกวัน จนถึงสิ้นปี 64
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 21 พ.ค.นี้ตนจะเดินทางไปยังสถานีกลางบางซื่อเพื่อตรวจความเรียบร้อย และความพร้อมก่อนที่จะเปิดให้บริการจริง โดยแบ่งการบริการออกเป็นในวันที่ 24-31 พ.ค. ให้ผู้ปฏิบัติการด่านหน้าในระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทในสังกัดกระทรวงคมนาคมก่อน ส่วนผู้ขับรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์วินรับจ้าง ผู้ขับขี่ขนส่งสาธารณะทุกประเภทในระบบทางกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จะเป็นผู้ประสานให้มาฉีดวัคซีนในช่วงวันดังกล่าวเช่นกัน
สำหรับประชาชนทั่วไปนั้นแนวคิดจะเป็นวอล์กอินวัคซีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป โดยประชาชนที่สนใจสามารถเดินทางมาลงทะเบียนที่สถานีกลางบางซื่อ เพียงยื่นบัตรประชาชนเพียงใบเดียว และรับบัตรคิวที่สถานีกลางบางซื่อได้เลย ซึ่งเมื่อรับบัตรคิวจะทำให้ผู้มารับบริการทราบได้ว่าคิวที่จะได้รับวัคซีนเป็นช่วงเวลาเท่าไหร่เพื่อไม่ต้องคอยนาน และการร่วมมือกันดังกล่าวระหว่างหน่วยงานจะช่วยให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการฉีดวัคซีนง่ายขึ้น และครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนที่มีความต้องการฉีดแต่ไม่ได้รับวัคซีน
“เรื่องนี้ผมได้มีการรายงาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว ถึงการเตรียมพร้อมที่จะเปิดสถานีกลางบางซื่อฉีดวัคซีนแบบวอล์กอิน เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถรับวัคซีนได้ง่ายขึ้น และสถานีก็กว้างขวางรองรับประชาชนที่จะเดินทางได้อย่างสะดวก ทั้งที่มาจากระบบขนส่งมวลชน ทางรถไฟฟ้าใต้ดินก็มาลงที่สถานีบางซื่อ และเดินทางเชื่อมใต้ดินจากสถานีรถไฟฟ้าบางซื่อมายังสถานีกลางบางซื่อได้เลย ส่วนประชาชนที่จะเดินทางมาโดยขนส่งสาธารณะ โดยรถเมล์ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ก็สามาถนั่งรถชัตเติลบัสที่คมนาคมจัดจุดรับเพื่อมาสถานีกลางได้ หากประชาชนขับรถมาก็สะดวกมีที่จอดรถรองรับได้จำนวนมาก มั่นใจว่าจะช่วยให้การรับวัคซีนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น”
ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานอำนวยการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์โควิดในระบบขนส่งมวลชน กล่าวว่า จากที่ได้มีการประชุมร่วมกระทรวงสาธารณสุข และส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปว่า จะมีการแบ่งกลุ่มที่จะมารับวัคซีนออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงระหว่างวันที่ 24-31พ.ค. 64 จะเป็นบุคลากรด่านหน้า และผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทของกระทรวงคมนาคม ส่วนวันที่ 1 มิ.ย. 64 เป็นต้นไปนโยบายกระทรวงคมนาคมจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการฉีดวัคซีนแบบเปิดกว้างมารับบริการ
นอกจากนั้นยังได้มีการประสานงานกับ ขสมก.ในการจัดรถโดยสารปรับอากาศ เพื่อวิ่งเวียนรับประชาชนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต, สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จตุจักร สถานีรถตู้ บขส. และจากท่าน้ำบางโพ วนมาที่สถานีกลางบางซื่อ ขณะเดียวกันได้ประสานงานกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้เปิดทางเดินเชื่อมจากสถานีบางซื่อมายังสถานีกลางบางซื่อ เพื่ออำนวยสะดวกประชาชนให้เดินทางได้ง่ายขึ้นเพื่อมารับบริการ
ส่วนเจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์นั้นได้มีการหารือกับกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และนักศึกษาพยาบาล โดยจะมาปฏิบัติงานเป็นกะ กะละ 150-200 คน เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น.ของทุกวัน โดยจะมีโต๊ะเพื่อฉีดวัคซีนให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 50 โต๊ะ
นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงคมนาคมและสาธารณสุขอำนวยความสะดวกอีกจำนวนมาก ขณะเดียวกันได้ประสานรถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลบุรฉัตรของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มาจอดรอสถานการณ์หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน