ผู้จัดการรายวัน 360 - JKN ก้าวสู่คอนเทนต์คอมเมิร์ซคอมปานีเต็มตัว ฉีกทิ้งโปรเจกต์ The River King มูลค่า 2.5 พันล้าน พร้อมจอดำเคเบิลทีวีช่อง JKN เพื่อทุ่มซื้อช่อง NEW18 มูลค่า 1,100 ล้านบาทแทน ชูเป็น “ลูกรักคนใหม่” เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ช่อง JKN18” ดันสู่ท็อป 10 หวังเป็นช่องทางหลักดันรายได้ 5,000 ล้านบาทใน 3 ปี เป็นบันไดสู่ฝัน 10,000 ล้านบาทใน 5-6 ปีจากนี้
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ “แอน JKN” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้ามาซื้อช่อง NEW18 เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและถูกมาก เพราะถ้าช่อง NEW18 ไม่อยู่รั้งท้ายก็คงไม่ขายทำให้เราซื้อมาได้ในราคาที่ถูก ซึ่งมองเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เป็นโอกาสในการที่จะทำอย่างไรที่จะปั้นดินให้เป็นทองมากกว่าที่จะมองว่าธุรกิจทีวีเป็นธุรกิจขาลง
การลงทุนครั้งนี้ได้มาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นที่ดิน อาคาร สำนักงาน เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ หรือตลอด 8 ปีนับจากนี้ใช้เงินลงทุนบริหารช่องนี้เพียง 1.6 ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น (หักต้นทุนที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และเรื่องเกี่ยวกับภาษีอีก 400 ล้านบาท จึงเหลือ 160 ล้านบาทในการใช้บริหารต้นทุนช่องตลอด 8 ปีนับจากนี้)
เมื่อเทียบกับช่องเคเบิลแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก เพราะการได้เลขช่องที่ดี หรือเลขในอันดับต้นๆ ต้องใช้เงินหลักแสนถึงล้านบาทขึ้นไปในการซื้อเลขช่อง หรือแค่ช่องในลำดับที่ 50 ก็ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท แต่การซื้อช่อง NEW18 จะได้เลขช่อง 18 โดยอัตโนมัติในทุกแพลตฟอร์ม จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจซื้อช่อง NEW18 ครั้งนี้
อีกทั้งมองว่าการเข้ามาเป็นเจ้าของช่อง NEW18 เป็นจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมกับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันในยุคนิวนอร์มัลที่ออกจากบ้านน้อยลง ไปไหนไม่ได้เพราะสถานการณ์โควิด-19 และใช้ชีวิตยึดติดกับหน้าจอสกรีนต่างๆ นำมาซึ่งพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในเวลาที่อยู่บ้านมากขึ้น บวกกับ JKN ต้องการต่อยอดธุรกิจ Commerce นำองค์กรก้าวสู่ Content Commerce Company การได้มาซึ่งช่องทีวีดิจิทัล กับช่อง NEW18 จึงเป็นเรื่องที่ดี
สำหรับแผนของช่อง NEW18 นั้นจะเปลี่ยนเป็นชื่อช่อง JKN18 และภายในเดือน พ.ค. 2564 นี้จะมีผังรายการใหม่ออกมา ส่วนการเข้าซื้อกิจการ บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสต์ จำกัด ครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ JKN ที่ผลักดันให้บริษัทก้าวสู่ Content Commerce Company อย่างเต็มตัว พร้อมขยายฐานผู้ชมจากทีวีดาวเทียมไปสู่ทีวีดิจิทัลและผลักดันการเติบโตกลุ่มธุรกิจ Commerce
โดยนำจุดแข็งด้านการผลิตคอนเทนต์รายการ ไม่ว่าจะเป็นรายการข่าวที่นำเสนอประเด็นร้อนผ่านพิธีกรชื่อดังให้แก่ผู้ชมตลอดทั้งวัน และรายการคอนเทนต์ซีรีส์ดังที่จะมาสร้างความบันเทิงมาสร้างเรตติ้งให้แก่ช่อง JKN18 และใช้เป็นช่องทางสื่อสารถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และจำหน่ายไปยังกลุ่มผู้ชมโดยตรง หรือ D2C ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้ JKN มีช่องทางการขายที่แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น
“การออกอากาศของช่อง JKN18 ส่งผลให้จะไม่มีช่อง JKN ทางเคเบิลทีวีอีกต่อไป และจากการเข้าซื้อกิจการจากดีเอ็นครั้งนี้ทำให้ต้องยกเลิกโปรเจกต์ The River King มูลค่า 2,500 ล้านบาทลง เพราะเป็นการโยกงบลงทุนดังกล่าวมาใช้ซื้อช่อง NEW18 แทน แต่ในเรื่องของที่ดินยังคงอยู่ โดยจะปล่อยให้เช่าหารายได้ต่อไป และจะมาให้ความสำคัญต่อที่ดินที่แบริ่งแทน ในชื่อ JKN เอ็มไพร์”
ขณะที่ในส่วนของคอมเมิร์ซนั้น ปัจจุบันมีสินค้าวางจำหน่ายทั้งสิ้น 7 รายการ จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีจะมีออกมารวมแล้วอีกกว่า 20 รายการ ซึ่ง 10 รายการแรกจะเป็นเครื่องดื่ม ได้แก่ เครื่องดื่มสมุนไพรสกัดผสมวิตามิน ภายใต้แบรนด์ Cupid (คิวปิด) ได้แก่ Dragon X (ดราก้อน เอ็กซ์) และ Tiger X (ไทเกอร์ เอ็กซ์) พร้อมวางจำหน่ายวันนี้เป็นวันแรกที่เทสโก้โลตัสอย่างน้อย 300-400 สาขา และจะเพิ่มเป็น 2,000 สาขาทั่วประเทศภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ นอกจากนี้อีก 10 รายการหลังนั้นจะเป็นสินค้าที่มีส่งนผสมของกัญชง/กัญชา ซึ่งจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ตลอดปี
“ด้วยกลยุทธ์การตลาดซูเปอร์สตาร์มาร์เกตติ้ง ทำให้เรามั่นใจว่าธุรกิจ Commerce จะเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้แก่กลุ่ม JKN” จักรพงษ์กล่าว
ด้านนายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายการเงินและบัญชี JKN กล่าวว่า การซื้อช่อง NEW18 ทางบริษัทได้ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1,100 ล้านบาทเพื่อเข้าซื้อกิจการจาก บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสต์ จำกัด โดยใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดจำนวนไม่เกิน 450 ล้านบาท สินเชื่อจากสถาบันการเงินอีก 450 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการผ่อนชำระอีก 36 งวด
ภายหลังเข้าซื้อกิจการบริษัทจะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของบุคลากรของ JKN ที่มีธุรกิจคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งเข้าไปเพิ่มศักยภาพการผลิตรายการข่าวให้น่าสนใจเพื่อสร้างเรตติ้งที่ดีให้แก่สถานี โดยมีเป้าหมายเรตติ้งติดอันดับท็อปเท็น ทั้งนี้ การเข้าบริหารช่อง JKN18 ได้ช่วยสนับสนุนธุรกิจ Commerce ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างให้เข้ามาอยู่ภายใต้กลุ่ม JKN ให้เติบโตทั้งด้านยอดขาย และการสร้างอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดี
“ส่งผลให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของกลุ่ม JKN เพิ่มเป็นมากกว่า 50% และยังช่วยสนับสนุนในเชิงกลยุทธ์การเติบโตระยะยาวของบริษัทที่วางเป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้แตะ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตเท่าตัว จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจ Content ประมาณ 2,000 ล้านบาท และธุรกิจ Commerce อีก 500 ล้านบาท จากนั้นอีก 3 ปีมั่นใจว่าบริษัทจะเข้าสู่รายได้ระดับ 10,000 บาทขึ้นไป” นายธีรภัทร์กล่าว