xs
xsm
sm
md
lg

กรอ.-กฟผ.ขยายผลศึกษาด้านนวัตกรรม ก่อนผุด รง.รีไซเคิลซากแผงโซลาร์ฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ กฟผ.เดินหน้าศึกษาแนวทางจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายลงลึกความเหมาะสมด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี เล็งพื้นที่ศักยภาพจัดตั้งโรงงานรีไซเคิลต้นแบบของประเทศ หลังเบื้องต้นพบภาคกลางเหมาะสมเหตุมีโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มากสุด

นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า กรอ.ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การศึกษาแนวทางการจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ และพัฒนาโรงงานรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย” ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อเนื่อง หลังครบกำหนดอายุของบันทึกความร่วมมือเดิมในระยะเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 โดยผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการรีไซเคิลแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทยยังคงมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งในด้านการเก็บรวบรวม ปริมาณ และความแตกต่างชนิดของซากที่จะส่งผลต่อเทคนิคในการรีไซเคิลและความคุ้มค่าการลงทุน ตลอดจนเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ทำให้การพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และต้องติดตามเทคโนโลยีในการรีไซเคิลที่ทันสมัยอยู่เสมอ

“การลงนามครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งหนึ่งในการร่วมกันศึกษาแนวทางการรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต่อเนื่องจากการศึกษาในครั้งก่อน โดยจะเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี พื้นที่ศักยภาพ ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การสร้างโรงงานรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศต่อไป” นายประกอบกล่าว

สำหรับพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการตั้งโรงงานรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบจะพิจารณาตามภูมิภาคและเลือกจังหวัดที่มีการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์มากที่สุดก่อน โดยพื้นที่ที่จะส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งโรงงานรีไซเคิลฯ นั้นจะครอบคลุมบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงในวงรัศมี 200-300 กิโลเมตร จากที่ตั้งพื้นที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าในภาคกลางเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด คือ 1,318.16 เมกะวัตต์ รองลงมาเป็นภาคตะวันตก 469 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 423.6 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออก 422 เมกะวัตต์ ภาคเหนือ 177 เมกะวัตต์ และภาคใต้ 41.01 เมกะวัตต์ รวม 2,850.77 เมกะวัตต์

ส่วนการบริหารจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แนวทาง ตามประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ คือ 1. แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพความจุมากกว่า 80% สามารถนำกลับไปประกอบแพกใหม่ (Repack) เพื่อเชื่อมกับแบตเตอรี่โมดูล หรือเซลล์อื่นๆ 2. แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพความจุอยู่ระหว่าง 60-80% สามารถนำกลับไปใช้ซ้ำ (Reuse) และ 3. แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพความจุต่ำกว่า 60% หรือไม่สามารถใช้งานต่อได้แล้ว ก็จะนำไปรีไซเคิล (recycle) ในโรงงานที่จัดสร้างขึ้นเพื่อนำวัตถุดิบกลับมาใช้ผลิตแบตเตอรี่ใหม่ได้อีกครั้ง

“ขยะจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังใช้วิธีการคัดแยกขยะแล้วนําไปย่อยสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนเข้าตามกระบวนการและนำทิ้งในหลุมฝังกลบตามกฎหมาย ดังนั้น การส่งเสริมให้มีการจัดตั้งโรงงานรีไซเคิลให้เพียงพอและเหมาะสมกับปริมาณที่จะเกิดขึ้น นอกจากจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารทรัพยากรในประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” อธิบดี กรอ.กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น