นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพและพัฒนาอาชีพของเกษตรกรเป็นอีกภารกิจหนึ่งของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ได้รับการพัฒนาในการประกอบอาชีพการเกษตร มีรายได้เพียงพอ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงในอาชีพ ทั้งในสภาวะปกติ และสภาวะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของภาคการเกษตรในระยะยาว กรมส่งเสริมการเกษตรได้ริเริ่มดำเนินงานด้านประกันภัยพืชผลในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2525 ต่อมาในปี 2554 กรมฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินงานโครงการประกันภัยพืชผลอย่างเป็นรูปธรรมในพืช 2 ชนิด ได้แก่ ข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่เนื่องจากภัยธรรมชาติที่เป็นผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการแบ่งปันฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบประกันภัยภูมิอากาศ ร่วมกับบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้น เพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการแบ่งปันฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบประกันภัยภูมิอากาศ ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันฐานข้อมูลการเกษตรสำหรับการคิดค้น พัฒนา รูปแบบระบบประกันภัยภูมิอากาศในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อร่วมสร้างฐานข้อมูลการเกษตรที่มีประสิทธิภาพและเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งการแบ่งปันฐานข้อมูลการเกษตรเพื่อสร้างระบบประกันภัยภูมิอากาศ (ภัยแล้ง) หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า การประกันภัยพืชผลโดยใช้ดัชนีสภาพอากาศ (Weather Index-Based Insurance for Agriculture) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสามารถวางแผนการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงการสูญเสียจากภัยแล้ง โดยเฉพาะในการเพาะปลูกมันสำปะหลัง เกษตรกรสามารถได้รับเงินชดเชยจากระบบประกันภัยภูมิอากาศ มีเงินไปหมุนเวียนเป็นทุนในการเพาะปลูกในรอบฤดูกาลถัดไป ส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้มั่นคงยิ่งขึ้น และสามารถปลูกมันสำปะหลังได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการร่วมมือกันในการเก็บและแบ่งปันข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการดำเนินโครงการตามวัตถุประสงค์เพื่อนำไปขยายผลความร่วมมือในอนาคต
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวอีกว่า ความร่วมมือว่าด้วยการแบ่งปันฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบประกันภัยภูมิอากาศระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนในครั้งนี้ นับเป็นการร่วมสร้างและพัฒนารูปแบบระบบประกันภัยภูมิอากาศ สร้างฐานข้อมูลการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรโดยตรง อีกทั้งเสริมสร้างความยั่งยืนในอาชีพการเกษตรต่อไป