ผู้จัดการรายวัน 360 - ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ปโหมหนักธุรกิจใหม่ต่อยอด เปิดโมเดลลุยถือหุ้นสตาร์ทอัพกับร่วมลงทุนพันธมิตรที่เชี่ยวชาญแต่ละธุรกิจ สร้างการเติบโตมาร์จิ้น 20% ขึ้นไป ขณะที่ธุรกิจเดิมลงทุนต่อเนื่อง ดันแผน 5 ปีโตเฉลี่ย 5% พร้อมเป้ารายได้ 160,000 ล้านบาท
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือทียู กล่าวว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายการดำเนินงานตามแผน 5 ปี (ปี พ.ศ. 2564-2568) จะต้องมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี และมีเป้าหมายสร้างรายได้รวมประมาณ 160,000 ล้านบาท เติบโตเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ และมีนโยบายที่จะลงทุนและขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเป็นการต่อยอดควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจเดิม โดยวางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจใหม่มีสัดส่วนประมาณ 10% จากรายได้รวม
“แนวทางหลักของเราคือ การเข้าไปจอยต์เวนเจอร์กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ที่เราไม่เก่งทางด้านนั้น รวมทั้งการลงทุนผ่านทางสตาร์ทอัพต่างๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าไปเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นเรื่องของอนาคต แต่ธุรกิจใหม่ๆ ที่เรามองนั้นจะมีมาร์จิ้นที่สูงไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่ธุรกิจเดิมๆ นั้นก็ยังคงมีกำไรที่ดีแต่ต่ำกว่าธุรกิจใหม่คือประมาณ 15% โดยเฉลี่ย”
ขณะที่งบลงทุนโดยรวม ตั้งงบประมาณเฉลี่ย 4,500 ล้านบาทตามปกติหากไม่มีการลงทุนอะไรพิเศษ ซึ่งจะเน้นการลงทุนด้านเอไอ ด้านดาต้า ด้านเทคโนโลยี และลดต้นทุนการดำเนินงาน สร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการตั้งกองทุนสตาร์ทอัพไว้แล้ว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลงทุนไปแล้วจำนวน 6 บริษัท วงเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ คือ 1. ฟลายอิ้ง สปาร์ค สตาร์ทอัพด้านโปรตีนทางเลือกใช้ตัวอ่อนแมลงที่กินผลไม้เป็นอาหาร ทำให้การผลิตเพาะเลี้ยงทำได้ง่ายและต้นทุนต่ำ, 2. บริษัท อัลเคมี ฟู้ดเทค บริษัทสิงคโปร์ที่ทำธุรกิจนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน, 3. บริษัท มันนา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัทโปรตีนจากแมลงและอีคอมเมิร์ซจากสหรัฐอเมริกา, 4. บริษัท ไฮโดรนีโอ บริษัทเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและเยอรมนี, 5. บริษัท วิสไวร์ส นิวโปรตีน บริษัทเงินทุนสัญชาติสิงคโปร์ ที่ทำธุรกิจบริหารกองทุนที่มองหาโอกาสความร่วมมือและร่วมลงทุนในเทคโนโลยีอาหาร, 6. บริษัท บลูนาลู สหรัฐอเมริกา สตาร์ทอัพด้านโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยง
สำหรับผลการดำเนินงานปีที่แล้ว (2563) มีรายได้รวม 132,402 ล้านบาท โต 4.9% มีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท โต 63.7% ขณะที่ไตรมาสที่ 3 มียอดขายรวมที่ 33,464 ล้านบาท โต 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้า และมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,938 ล้านบาท โต 26.1% และกำไรสุทธิ 1,457 ล้านบาท โต 37.9% โดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขาย 14,440 ล้านบาท โต 8.8% ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขาย 5,287 ล้านบาท โต 8% ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบบ้างจากสถานการณ์โควิด คือ อาหารแช่แข็งทั้งนี้ รายได้รวมแบ่งสัดส่วนยอดขายมาจากอเมริกาและแคนาดา 43%, ยุโรป 29%, ไทย 10% และอื่นๆ 18%
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้วได้ลงทุนประมาณ 3,700 ล้านบาท ต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 4,900 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้บริษัทฯ จึงเพิ่มงบประมาณการลงทุนจาก 4,500 ล้านบาท เป็น 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการใหม่ๆ ที่ได้รับการอนุมัติให้ลงทุนไปแล้ว คือ 1. โครงการผลิตโปรตีนคอลลาเจนเปปไทด์ที่ประเทศไทย งบลงทุน 800 ล้านบาท, 2. โครงการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ไทย ลงทุน 1,000 ล้านบาท และ 3. โครงการลงทุนสร้างห้องเย็น ที่ประเทศกานา มูลค่า 11 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนปีที่แล้วไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง เช่น ธุรกิจอินกริเดียนต์ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยูนีกโบน ผงแคลเซียมละเอียดจากกระดูกปลาทูน่า โดยเปิดไลน์ผลิตที่โรงงานสงขลาแคนนิ่งที่สงขลามีการร่วมลงทุนกับอินเตอร์ฟาร์มา และร่วมลงทุนกับบริษัทในเครือไทยเบฟ
อีกธุรกิจที่น่าสนใจก็คือ แพลนต์เบสและการนำกัญชงมาเป็นส่วนผสมประกอบการผลิตต่างๆ ซึ่งเราเองก็มีการศึกษาต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของแพลนต์เบสนั้นเราเริ่มดำเนินธุรกิจแล้ว โดยจะเปิดตัวต่อตลาดผู้บริโภคทั่วไปในวันที่ 15 มีนาคมนี้ คือแบรนด์ โอเอ็มจี ที่จะขายในไทย ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาท และภายใน 5 ปีจะได้ 1,000 ล้านบาท