ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซีพีแรม” รุกหนัก เปิดตลาดอาหารสุขภาพพร้อมรับประทานแบรนด์ใหม่ “VG for Love” หวังรายได้ถึง 500 ล้านบาทในปีหน้า พร้อมสัดส่วนรายได้ 20% ใน 3-5 ปี ซุ่มแผนผุดฐานผลิตใหม่ๆ ล่าสุดปีนี้ทุ่ม 2,660 ล้านบาทผุดฐานผลิตเบเกอรีแห่งที่ 6 ที่ชลบุรี เผยรายได้ปี 63 ลดลงเพราะโควิด
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขยายยไลน์เข้าสู่กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) แบรนด์ “VG for Love” อาหารกลุ่มใหม่สำหรับผู้บริโภคที่มีการบริโภคพืชเป็นหลัก “Plant Based Diet” แบ่งประเภทอาหารเป็น 5 ประเภท ได้แก่ หมายเลข 1 อาหารเจ, หมายเลข 2 อาหารวีแกน, หมายเลข 3 อาหารมังสวิรัติกับนม, หมายเลข 4 อาหารมังสวิรัติกับไข่ และหมายเลข 5 อาหารมังสวิรัติกับนม และไข่ ซึ่งบรรจุในบรรจุภัณฑ์ “สีฟ้า” ปิดผนึกมิดชิดเพื่อคงสภาพความสด ใหม่ สะอาด และความปลอดภัยทางอาหารสูงสุด
เริ่มวางจำหน่าย “VG for Love” แล้วผ่านช่องทางแม็คโคร, 7-Eleven (online) ร้านค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งพร้อมจะขยายจุดจำหน่ายคลอบคลุมทั่วประเทศเร็วๆ นี้ มีราคาตั้งแต่ 39-45 บาท และจะมีเมนูใหม่ทยอยออกมาต่อเนื่อง
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายปีแรกนี้ไว้ที่ 120 ล้านบาท และปีหน้า 500 ล้านบาท และปี 2566 ประมาณ 1,000 ล้านบาท และเป้าหมายสร้างรายได้สัดส่วน 20% จากรายได้รวมภายใน 3-5 ปีจากนี้ เบื้องต้นใช้ไลน์ผลิตจากโรงงานเดิมมาปรับผลิตแบรนด์ใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 นี้ยังมีแผนที่จะลงทุนด้วยงบประมาณ 2,660 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างฐานการผลิตโรงงานเบเกอรีแห่งที่ 6 ที่ชลบุรี ที่มี 2 ไลน์ผลิต คือทั้งผลิตสำเร็จรูป กับผลิตแป้งโดแช่แข็งเพื่อส่งไปอบสดแต่ละแห่ง คาดว่าแล้วเสร็จกลางปีหน้า มีกำลังผลิต 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน หรือประมาณ 30,000 ตันต่อเดือน ซึ่งเป็นโรงงานเบเกอรีแห่งที่ 6 แต่เป็นแห่งที่ 2 ที่อยู่ต่างจังหวัด โดยอีกแห่งอยู่ที่ขอนแก่น ส่วนอีก 4 แห่งอยู่ลาดกระบัง หรือจากทั้งหมดโรงงานแห่งที่ 16 ของซีพีแรม
นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเตรียมแผนการลงทุนในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดว่าปีนี้จะสรุปได้ว่าจะลงทุนอะไรบ้าง ทั้งโรงงานผลิตเบเกอรี โรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทาน และอื่นๆ รวมทั้งไลน์ผลิตใหม่ของอาหารพร้อมรับประทานแบรนด์ “VG for Love” ด้วยหากตลาดให้การตอบรับที่ดี
นายวิเศษกล่าวด้วยว่า จากผลกระทบของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างหนักทั่วโลกและไทยด้วยเมื่อปี 2563 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งผู้ที่ปรับตัวได้ บางรายปรับตัวรับไม่ทัน หลายธุรกิจปิดตัวลง หลายธุรกิจชะลอตัวลง และยังคงมีผลกระทบต่อเนื่องในปีนี้อีก แต่คาดว่าภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ สถานการณ์น่าจะเริ่มคลี่คลายดีขึ้นบ้าง
ในส่วนของซีพีแรมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ต้องมีการปรับกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวและยังสามารถประคองธุรกิจให้มีผลประกอบการใกล้เคียงปี 2562 ให้มากที่สุด โดยปี พ.ศ. 2563 มียอดขายรวม 19,379 ล้านบาท (สัดส่วนมาจากในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 95%, นอกร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 3% และส่งออก 2%)
ขณะที่ปี 2562 มียอดขายรวม 19,922 ล้านบาท (สัดส่วนมาจากในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 94%, นอกร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 3% และส่งออก 2%) และมีการพัฒนาสินค้าใหม่ กลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน 186 รายการ และเบเกอรี 152 รายการ
ปี 2564 ซีพีแรมตั้งเป้าหมายยอดขายรวม 21,310 ล้านบาท โต 10% (สัดส่วนยอดขายมาจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 94%, นอกร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 4% และส่งออก 2%) ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานประมาณ 70% และมาจากกลุ่มเบเกอรีประมาณ 30% จากอดีตเมื่อ 2 ปีที่แล้วสัดส่วนเท่ากันที่ 50%
เขากล่าวด้วยว่า เมื่อปีที่แล้วซีพีแรมร่วมกับร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นดำเนินโครงการเมนู "อิ่มคุ้ม" ซึ่งเป็นเมนูอาหารพร้อมรับประทานในราคาปกติทั่วไป แต่อร่อยและมีปริมาณมากจนกินอิ่มในกล่องเดียวหรือชิ้นเดียว ซึ่งได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
โครงการเมนู "อิ่มคุ้ม" ไม่เพียงแต่เป็นโครงการช่วยลดค่าครองชีพผู้บริโภคเท่านั้น ยังช่วยขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานอาหารภายใต้การจัดการของซีพีแรมให้เดินหน้าต่อไปภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจได้ เป็นผลให้พนักงานซีพีแรมและพนักงานของคู่ค้าตลอดห่วงโซ่อุปทานยังทำงานเต็มเวลาปกติ ไม่มีการลดคนหรือลดเวลาทำงานลง โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่มุ่งผลลัพธ์ช่วยเหลือทางสังคมมากกว่าผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ โดยปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 50%