xs
xsm
sm
md
lg

“ซินไฉฮั้ว” รุกซักผ้าหยอดเหรียญ ปั้น “แฟรนไชส์ 3 โมเดล” ลุยตลาด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซินไฉฮั้ว” ปรับตัวเปิดเกมรุกครั้งใหญ่ รับศึกร้านซักผ้าผุดเป็นดอกเห็ด แต่ยันตลาดรวมแนวโน้มยังเติบโตได้ดี รุกช่องทางร้านหยอดเหรียญอัตโนมัติ พร้อมลุยโมเดลแฟรนไชส์ รับโควิด-19 ฟาดหนักหน่วง

นายปิยะพล กัญจณาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินไฉฮั้ว ซักแห้ง จำกัด ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 เปิดเผยว่า ตลาดบริการซักอบรีดทั่วไปในไทยมีมูลค่ารวมมากกว่า 40,000 ล้านบาท และเป็นตลาดที่มีศักยภาพมีการเติบโตต่อเนื่อง ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจซึ่งจะสังเกตได้ว่าในช่วง 3-4 ปีนี้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะในรูปแบบร้านซักผ้าหยอดเหรียญอัตโนมัติที่มีทั้งเชนต่างประเทศและของไทยขยายตลาดอย่างมากมายแม้ว่าจะไม่มีบริการรีดด้วยก็ตาม ยังไม่นับรวมถึงผู้ประกอบการที่เป็นร้านทั่วไปที่ไม่ใช่แบบหยอดเหรียญอีกจำนวนมากที่เปิดบริการอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตาม จากการเติบโตของคนเมืองและวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปต้องการความสะดวก และไม่มีเวลามากนักในการทำงานบ้านเพราะต้องทำงานอกบ้านเป็นหลัก อีกทั้งคนยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียมก็มีมากขึ้นก็ต้องการใช้บริการต่างๆ รวมไปถึงการซักผ้าด้วย จึงยังคงทำให้ตลาดยังเติบโตดี ซึ่งในไทยคาดการณ์ว่ามีร้านซักผ้าแบบหยอดเหรียญอัตโนมัติไม่เกิน 1,000 ร้านค้า ขณะที่ในมาเลเซียมีมากกว่า 5,000 ร้านค้า

“ทั้งนี้ ซินไฉฮั้วเองที่อยู่ในธุรกิจนี้มานานกว่า 86 ปี ก็ได้มีการศึกษาตลาดร้านซักผ้าหยอดเหรียญมาระยะหนึ่งแล้ว อีกทั้งเราเองก็มีฐานการตลาด, ฐานลูกค้า และข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าพอสมควร ตอนนี้เรามีความพร้อมแล้วที่จะรุกตลาดแฟรนไชส์ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ ซึ่งเริ่มทดลองตลาดมาตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว เพื่อเป็นการขยายฐานการตลาดและกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจด้วย และเป็นหนึ่งในหลายโมเดลที่บริษัทวางแผนขยายธุรกิจเชิงรุกจากนี้ไป”


โดยบริษัทฯ มีแผนการทำแฟรนไชส์ใน 3 รูปแบบหลัก คือ 1. แบบเคาน์เตอร์ เหมือนหน้าร้านรับออเดอร์เสื้อผ้าจากลูกค้า ลงทุน 6 แสนบาท 2. แบบหยอดเหรียญอัตโนมัติคือมีตู้ซักตู้อบผ้า หยอดเหรียญ พื้นที่เฉลี่ย 50 ตารางเมตร ลงทุน 2 ล้านกว่าบาทขึ้นไป แล้วแต่กรณี เปิดบริการ 24 ชั่วโมง และ 3. แบบผสมคือมีทั้งหน้าร้านรับเสื้อผ้าจากลูกค้าแล้วส่งมายังโรงงานบริษัท และยังมีแบบหยอดเหรียญซักเองด้วย 

ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขารวมทั้งหมด 35 สาขา โดยแบ่งเป็นของบริษัท 30 สาขา และของแฟรนไชส์ 5 สาขา ซึ่งในแฟรนไชส์นี้ ก็มีผสมกันไป เพราะบางรายจะมีเคาน์เตอร์ บางรายมีหยอดเหรียญ บางรายมีแบบผสม ในช่วงแรกบริษัทได้จัดโปรโมชันเมื่อซื้อแฟรนไชส์ภายในปีนี้จะได้รับส่วนลดพิเศษ 1 แสนบาททุกรูปแบบ สัญญานาน 9 ปีจากปกติแล้ว 3 ปี ตั้งเป้าหมายปี 2563 นี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 42 สาขา โดยเป็นแฟรนไชส์อีก 3 สาขา นอกนั้นเป็นการเปิดของบริษัทเอง ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายเพิ่มสาขาอีกรวม 20 สาขา 

กลยุทธ์ของบริษัทฯ พยายามที่จะหาพันธมิตรที่เป็นเจ้าของสถานที่เพื่อทำการเปิดสาขาในพื้นที่ดังกล่าวที่เจรจาเรียบร้อยแล้วเช่น ปั๊ม ปตท. ปั๊มบางจาก รวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มเดอะมอลล์ และที่จะขยายเพิ่มอีกเช่น กลุ่มที่พักอาศัยคอนโดมิเนียม ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนเปิดสาขาใหม่ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาเลียบคลองทวีวัฒนา เมื่อวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการลงทุนเองจะเป็นสาขาแบบครบวงจร


นายปิยะพลกล่าวต่อว่า นอกจากการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์แล้วยังทำให้ขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายระดับแมสได้มากขึ้นด้วย จากกลยุทธ์ร้านหยอดเหรียญ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ทำการปรับลดราคาค่าซักแห้งซักน้ำลงมาจากสาขาที่เป็นบริการของบริษัทเอง จากเดิมราคาเฉลี่ย 50 บาทต่อชิ้น เหลือเพียง 16 บาทต่อชิ้น ตั้งแต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ต่อเนื่องนาน 6 เดือน

สำหรับความพร้อมของโรงงานซักนั้น ล่าสุดเพิ่งเริ่มขยายโรงงานที่เขาใหญ่เป็นที่ 3 ลงทุน 10 กว่าล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ซึ่งมีความสามารถในการซัก 7 ตันต่อชั่วโมง จากเดิมมีโรงงาน 2 แห่งที่กรุงเทพฯ มีความสามารถซักได้ 7 ตันต่อชั่วโมง 


โดยกลุ่มลูกค้าเดิมของซินไฉฮั้วจะมี 2 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มตลาดปลีก หรือบุคคลทั่วไปตามสาขา สัดส่วน 20% กับ 2. กลุ่มองค์กร สัดส่วนหลัก 80% เช่น โรงพยาบาล สายการบิน โรงงานทั่วไป สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งการที่ขายแฟรนไชส์ร้านหยอดเหรียญจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้กลุ่มตลาดปลีกมากขึ้นด้วย 

ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดหนัก บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นกลุ่มองค์กรในส่วนของโรงแรมเพราะเปิดบริการไม่ได้เลย สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ต้องปิดบริการ หรือแม้แต่สายการบินที่หยุดบินจนถึงขณะนี้ ลูกค้าองค์กรหายไปมากกว่า 30-50% จาก 80% ของลูกค้าทั้งหมด 

นายปิยะพลกล่าวด้วยว่า ยอดรายได้รวมปี 2563 นี้คาดว่าจะลดลงหายไปประมาณ 30% จากปกติมียอดรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ย 14-16% ทุกปี แต้องบยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่สาหัสมาก เพราะสถานการณ์โควิด-19 เป็นหลักทำให้ทุกอย่างชะงักไปหมด


กำลังโหลดความคิดเห็น