ผู้จัดการรายวัน 360 - “แมคโดนัลด์” ชูกลยุทธ์ 3D โหม 3 ช่องทาง พร้อมดันโมเดลดีลิเวอรีโฟกัส เผยปรับลดงบลงทุนปีนี้เหตุโควิดระบาด แต่ยันขยายสาขาต่อเนื่อง
นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารร้านแมคโดนัลด์ในไทย เปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างหนักในไทย รวมถึงช่วงที่มีการล็อกดาวน์ต่างๆ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหลายธุรกิจ ซึ่งแมคโดนัลด์เองก็เช่นกันที่มียอดขายลดลง
เพราะมีหลายสาขาที่อยู่ในห้างไม่สามารถเปิดบริการได้ช่วงล็อกดาวน์ รายได้หายเกือบ 50% แต่ก็ยังมีโอกาสบ้างเนื่องจากเรามีหลายโมเดลที่เปิดบริการ จึงยังประคองตัวมาได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้จะปลดล็อกดาวน์ไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดสาขาได้ครบหมด โดยเฉพาะสาขาในพื้นที่ท่องเที่ยวและจับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 20 กว่าสาขา หรือ 8% จากทั้งหมด เช่น พัทยา ป่าตอง ภูเก็ต เป็นต้น
จากปัจจุบันนี้แมคโดนัลด์มี 228 สาขาทั่วประเทศ และแมคสแน็ค (McSnack) 20 คีออสก์ ไดรฟ์ทรู 79 สาขา แมคดีลิเวอรี 185 สาขา และแบบเอ็มปาร์กอีก 4 สาขา (ที่พระราม 2-นครสวรรค์-กาญจนบุรี-คลอง 3 รังสิต) และมีพนักงาน 7,000 คน โดยมีลูกค้าที่ใช้บริการ 8 ล้านคนต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ช่วงโควิด-19 ระบาด ขณะนี้ในภาพรวมอาจจะไม่ดีโดยเฉพาะช่องทางนั่งรับประทานในร้าน หรือไดน์อิน (Dine-In) หากแยกเป็นช่องทางจะพบว่าดีลิเวอรี (Delivery) เติบโต 100% ช่องทางไดรฟ์ทรู (Drive Thru) เติบโต 40% ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากนั่งรับประทานในร้านกว่า 50% และปริมาณยอดซื้อต่อบิลในช่วงโควิด-19 โต 30% แต่ตอนนี้โตเพียง 10%
สำหรับแผนงานจากนี้บริษัทฯ จะให้ความสำคัญต่อการขยาย 3 ช่องทางนี้มากขึ้น คือ ดีลิเวอรี ไดรฟ์ทรู และดิจิทัล ขณะที่ไดน์อินนั้นเป็นตลาดใหญ่อยู่แล้ว แต่ขณะนี้ลูกค้าอาจจะมาที่ร้านน้อยกว่าช่วงปกติเพราะเรื่องโควิดทำให้เกิดนิวนอร์มัล และภายในสิ้นปี 2563 วางแผนต้องกลับมาเปิดสาขาที่ปิดไปและมีรายได้ 90%
“โอกาสในการขยายสาขาใหม่ยังมีอีกมาก ตอนนี้เรามีแค่ใน 45 จังหวัดเท่านั้นเอง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 55% และในต่างจังหวัด 45% ยังมีตลาดในอีกกว่า 30 จังหวัดที่เรายังไปได้อีก หรือแม้ในจังหวัดเดิมก็ยังมีศักยภาพในทำเลอื่นได้อีกด้วย แบรนด์แมคโดนัลด์มีความแข็งแกร่ง เราอยู่ในไทยมานานกว่า 35 ปี เหมือนคนในวัยทำงานที่ยังมีพลังงาน มีศักยภาพมาก” นายธันยเชษฐ์กล่าว
ตามแผนเดิมปี 2563 จะเปิดประมาณ 6-7 สาขา และปรับปรุงสาขาเดิมอีก 20 สาขา แต่สถานการณ์โควิด-19 อาจจะเลื่อนบางสาขาไปปีหน้า เพราะเจ้าของสถานที่บางแห่งมีการเลื่อนโครงการออกไป
ส่วนปีนี้คาดว่าจะเปิดได้ 4-5 สาขา เปิดไปแล้ว 1 สาขาที่ถนนสีลม ซึ่งปีที่แล้วปรับปรุงไปแล้ว 14 สาขา ยอดขายเพิ่ม 5% โดยมีแผนใช้งบลงทุนสาขาปีนี้ประมาณ 250 ล้านบาท แต่ขณะนี้ได้ปรับลดลง 30% ตามสถานการณ์เหลือ 180 ล้านบาท ขณะที่งบการตลาด 300 ล้านบาท และงบด้านไอที 80 ล้านบาท ยังไม่ปรับลด
แผนการตลาดครึ่งปีหลังจะเน้นที่ 3 เรื่องหลัก คือ 1. การเปิดตัวเมนูใหม่ที่ให้ความคุ้มค่า (Menu & Value) เช่นการปรับเมนู Signature Angus Beef Burger และ McSpicy Chicken Burger
2. การเน้นสร้างความสัมพันธ์ของแบรนด์ต่อผู้บริโภค (Brand Relevancy) ผ่านการตกแต่งภายในร้านด้วยดีไซน์ใหม่ที่ทันสมัย ที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น วัยทำงาน รวมทั้งยังเน้นสร้างความผูกพันกับกลุ่มลูกค้าครอบครัวผ่านกิจกรรมสำหรับเด็ก และรุกสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ขณะนี้มีกลุ่มลูกค้าหลักคือ คนทำงาน 30% กลุ่มครอบครัว 30% กลุ่มวัยรุ่น 25% และกลุ่มสูงวัย 15%
3. การสร้างความสะดวกสบาย (Convenience) ให้แก่ลูกค้าผ่านการให้บริการจัดส่งอาหาร (Delivery) บริการไดรฟ์ทรู (Drive Thru) และดิจิทัล (Digital) โดยการผนึกกำลังของแมคดีลิเวอรี และพันธมิตรผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร เช่น GrabFood, Foodpanda, Lineman ซึ่งในส่วนของดิจิทัลจะทำตลาดผ่านแอปฯ มากขึ้นซึ่งเปิดตัวปลายปีที่แล้ว ขณะนี้มียอดดาวน์โหลด 1.2 ล้านราย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมี 4 ล้านราย
สำหรับดีลิเวอรี มีแผนที่จะทำดีลิเวอรีโฟกัส คือสาขาใดที่มียอดขายมาจากดีลิเวอรีมากกว่า 50% และเป็นร้านที่มีศักยภาพในการจัดส่งแต่อาจจะไม่สามารถเปิดบริการกลางคืนได้เพราะอยู่ในศูนย์การค้า ก็จะปรับรูปแบบมาเป็นสาขาดีลิเวอรีโฟกัสเพื่อให้บริการได้