ผู้จัดการรายวัน360 - เค.อี. มองไกลรุกแผน “เชื่อมต่อคอมมูนิตี้ มอลล์ กับ New Norm Lifestyle” โลกเปลี่ยน เราปรับ รับวิถีใหม่ปัจจุบัน วางเป้าการเติบโตในอนาคต 5 ปีข้างหน้าแบบ Organic Net Operating Income Growth ที่ 4-5% ต่อปี และการเติบโตแบบ Inorganic total asset value growth ที่ 15-20% ต่อปี
นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. ผู้บริหารกอง REIT “BKER” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันบริหารศูนย์การค้าทั้ง 11 โครงการ ได้แก่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, อมอรินี รามอินทรา, แอมพาร์ค (จุฬา), เพลินนารี มอลล์ วัชรพล, สัมมากร รามคำแหง รังสิต ราชพฤกษ์, เดอะซีน และ เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์ เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อ คอมมูนิตี้ มอลล์ ให้เข้ากับ New Norm Lifestyle โดยมองว่า ขณะนี้ภาพรวมศูนย์การค้าทุกแห่ง เน้นการทำสถานที่ให้สะอาด มี social distancing และให้ลูกค้ามั่นใจในการมาใช้บริการ
สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือ ความน่าชื่นชมที่ภาครัฐสามารถควบคุมการสาธารณสุข ให้การแพร่ระบาดลดน้อยลงอย่างมาก การที่ประชาชนมีความใส่ใจในการดูแลตัวเองและผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ในด้านการออกมาตรการปลดล็อกแบบค่อยเป็นค่อยไปของภาครัฐนั้น อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและจุดคุ้มทุนในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ในส่วนของศูนย์การค้า การจำกัดจำนวนคนในการเข้าใช้บริการร้านอาหาร แม้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการเดินทางมาด้วยกัน หรือการลดประเภทบริการในหลายธุรกิจ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ อาทิ ฟิตเนส คลินิกเสริมความงาม สปา เป็นต้น จึงอยากขอให้ทางภาครัฐเร่งพิจารณาให้เปิดดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติ โดยให้ทางผู้ประกอบการและลูกค้าให้ความสำคัญในการดูแลความปลอดภัย ความสะอาดอย่างจริงจังตามมาตรฐานสากล
ปัจจุบัน เรามองการเติบโตในอนาคต 5 ปีข้างหน้า โดยมีแผนว่าจะเป็นการเติบโตแบบ Organic Net Operating Income Growth ที่ 4-5% ต่อปี และการเติบโตแบบ Inorganic total asset value growth ที่ 15-20% ต่อปี เราเปิดกว้างการเติบโต โดยมองว่า คอมมูนิตี้มอลล์ ยังคงเติบโตได้ดี แม้ปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์ได้ดีกับลูกค้า ทำให้เรามองถึงการเชื่อมต่อกับนิวนอร์มได้อย่างชัดเจน
แนวคิดการขยายธุรกิจที่เน้นแบบ Inorganic growth ได้แก่ 1) การลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในหรือต่างประเทศ โดยเราสามารถเข้าลงทุนได้ภายใน 3-6 เดือนนับจากการเข้าศึกษาข้อมูล 2) การลงทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือพันธมิตรธุรกิจ ในการพัฒนาที่ดิน ก่อสร้าง และบริหารงาน 3) การเข้าไปบริหารงาน ลักษณะเป็น Retail and property management เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้ากองรีท 4) การลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความต้องการเราเป็น Strategic partner หรือ Financial partner โดยให้ความสนใจในโมเดลธุรกิจหลายประเภท อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าที่มีการทำธุรกิจออฟไลน์ และออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ทางเราได้เตรียมแพลตฟอร์มในการสร้างและสานต่อธุรกิจประเภทตลาดอีเวนท์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในอนาคต โดยสามารถส่งข้อมูลให้ศึกษาได้ที่ email: bd@kegroup.co.th หรือ Line ID: @ke.bd
กลุ่มบริษัท เค.อี. ได้เตรียมแผนงานในอนาคต โดยเน้น 2 เรื่องหลักคือ ทิศทางการสร้างรายได้จากการเติบโตของธุรกิจด้านรีเทล เรื่องที่สองการนำ Tech platform ที่เข้ามาใช้ในส่วนสำคัญ มุ่งเน้นเรื่อง Data Management, Revenue Management, Cost Management and Operation Management ที่เรามุ่งมั่นให้เป็นหัวใจในการเพิ่มประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์ธุรกิจที่มีความสำคัญในอันดับต้น โดยมีแผนร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ในการสร้าง Retail Platform ให้เกิดผลลัพธ์ที่ครบทุกมุมให้ได้ภายในไตรมาสที่สามของปีนี้.