ในยามที่ประชาชนเดือดร้อนในภาวะวิกฤต รัฐบาลทุกประเทศเร่งช่วยเหลือ โดยเน้นความง่าย การเข้าถึงเงินได้โดยเร็วและเท่าเทียม โดยภาครัฐต้องลดขั้นตอนและทำโปร่งใส ทำให้เงินถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุด และมีกระบวนการตรวจสอบภายหลัง ล่าสุดกระทรวงการคลังของสิงคโปร์จ่ายเงินช่วยเหลือประชาชน 14,000 บาท ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งพลเมืองได้รับเงินทุกคน ไม่ต้องมีขั้นตอน โดยวันที่ 14 เมษายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวสิงคโปร์ที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไปจะเป็นผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือดังกล่าวจากงบ Solidarity Budget ของรัฐบาลที่แจกจ่ายช่วยเหลือภาคธุรกิจ ห้างร้าน ภาคแรงงาน และภาคครัวเรือนของสิงคโปร์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ต้องกลัวว่าจะให้เงินผิดคน เพราะภาวะวิกฤตโควิดทุกคนกำลังลำบาก ต้องรีบอัดฉัดเงินไปช่วยเหลือโดยเร็ว และอย่าแปรรูปเงินช่วยเหลือเป็นถุงยังชีพ เพราะนาทีนี้ประชาชนซื้อของเองได้ ขอแค่เงินถึงมือประชาชนให้ง่าย อย่าใช้ขั้นตอนรัฐปกติ
อีกกรณีที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ แจกช่วยประชาชนญี่ปุ่นทุกคน รายละ 30,000 บาท เท่าเทียมกันโดยไม่มีเงื่อนไข โดยสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะของญี่ปุ่นได้ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทั้งประเทศ จากเดิมที่ประกาศเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดสำคัญ โดยให้มีผลจนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม ซึ่งจะเห็นได้ว่า เร็ว ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีขั้นตอน คนเข้าถึงเงินเท่าเทียมและได้รับเสียงชื่นชม
เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศไม่รีรอ และไม่มีขั้นตอนให้ยุ่งยาก ล่าสุดส่งเช็คเงินสดถึงชาวอเมริกันทั่วประเทศครัวเรือนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32,000 บาท) หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชะงักงันจากผลพวงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเงินนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมแจกเงินทั้งหมดราว 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศแผนเลื่อนการจ่ายภาษีให้แก่บริษัทและภาคประชาชนเป็นเวลา 90 วัน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งต้องเร็วและทั่วถึง ต้องแสดงความเชื่อมั่นจะทำให้เศรษฐกิจยังเดินต่อไปได้
ดังนั้น ในภาวะวิกฤตรัฐต้องเร็ว แข่งกับเวลา เพราะประชาชนต้องการเข้าถึงเงินช่วยเหลือ ทำขั้นตอนให้ง่าย แล้วจะได้เสียงชื่นชม แต่หากเพิ่มขั้นตอน ตรวจสอบไปมา ให้ทำแบบสอบถาม คนได้เงินบ้าง ไม่ได้บ้าง การช่วยเหลือก็จะไม่ทันการณ์ สุดท้ายออกซิเจนอาจไม่ทันคนไข้ คนไทยอาจไม่ทันลืมตาและอ้าปาก เพราะเงินช่วยเหลือมาช้าเหลือเกิน แถมยังเสี่ยงแปรรูปเป็นถุงยังชีพให้ชีวิตยากขึ้น ต้องมาเอาใจช่วยรัฐบาลว่าจะลดขั้นตอนได้หรือไม่? เพราะเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน...มิใช่หรือ?