วันนี้ (6 ก.พ.) นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) และนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการก่อสร้างในเขตทางหลวงชนบทและด้านการจัดการพลังงาน เพื่อสนับสนุนภารกิจของทั้งสองหน่วยงาน ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประชาชน
นายปฐมกล่าวว่า กฟภ.เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าในเขตรับผิดชอบ 74 จังหวัด ทั่วประเทศ ปัจจุบันยังมีพื้นที่บางส่วนยังไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างระบบไฟฟ้าได้ เช่น บนเกาะ สะพานข้ามแม่น้ำ หมู่บ้านที่ห่างไกลจากชุมชน ซึ่งต้องขออนุญาตจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ก่อนดำเนินการก่อสร้างระบบไฟฟ้าดังกล่าว
ส่วน ทช.นั้น การก่อสร้างขยายถนนต้องมีการประสานงานกับ กฟภ.ในการย้ายแนวเสาไฟฟ้า เพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยทั้งสองหน่วยงานจะบูรณาการร่วมกันในด้านการบริหารจัดการงานในส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกัน สนับสนุนการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้เพื่อรองรับภารกิจหลักของทั้งสองหน่วยงาน โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ หรือแบบธรรมเนียมในการปฏิบัติ ที่มีใช้อยู่แล้วหรือจะมีการกำหนดขึ้นใหม่ในอนาคต ซึ่งบทบาทและกรอบในการร่วมมือทั้งสองด้านมีดังนี้
ในการก่อสร้างในเขตทางหลวงชนบท ส่วนของการรื้อย้ายเสาไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์และทรัพย์สินทุกชนิดของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในเขตทางหลวงชนบท, การขออนุญาตปักเสา พาดสายในเขตทางหลวงชนบท โดย ทช.จะกำหนดตำแหน่งให้ตรงกับเขตทางหลวงในขั้นสมบูรณ์ เพื่อลดการรื้อย้ายเสาไฟฟ้าในอนาคต, การก่อสร้างและปรับปรุงระบบอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตทางหลวงชนบทที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของ กฟภ.และ ทช., การดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของทั้งสองหน่วยงาน
ด้านการจัดการพลังงาน การดำเนินโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้าบนถนนทางหลวงชนบท, ศึกษาแนวทางและการดำเนินการติดตั้งโคมไฟส่องสว่างบนเสาไฟฟ้าของ กฟภ.เพื่อลดจำนวนเสาไฟฟ้าบนถนนทางหลวงชนบท, การประสานงานกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อยกเว้นจัดเก็บค่าใช้ไฟฟ้าที่มิใช่แสงสว่าง แต่เป็นค่าใช้ไฟฟ้าเพื่องานสาธารณะประโยชน์อื่นๆ บนถนนทางหลวงชนบท, การศึกษาความเป็นไปได้ในการให้บริการบำรุงรักษาไฟถนนทางหลวงชนบท โดย กฟภ.
นอกจากนี้ ทช. และ กฟภ.จะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ เพื่อพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีของทั้งสองฝ่ายบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นับถัดจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้
สำหรับระยะเวลาความร่วมมือบันทึกข้อตกลงนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในบันทึก หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายประสงค์จะยกเลิกบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะทำการยกเลิกแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยระบุวันที่ที่จะให้มีผลยกเลิกบันทึก และให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้เป็นอันสิ้นผลในวันที่ระบุในหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าดังกล่าว