กระทรวงอุตสาหกรรม อัดฉีดสินเชื่อกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายสาขาธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry) และธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% เริ่ม 1 ธ.ค.นี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ด้วยสภาวะสงครามการค้าโลกในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในปีนี้มีแนวโน้มของการเติบโตที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) จำนวนมาก ต่างประสบปัญหาในด้านการค้า การลงทุน ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และไม่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ 22 ต.ค.จึงได้มอบให้คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุมัติสินเชื่อเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐวงเงิน 3,000 ล้านบาทช่วยเหลือสภาพคล่อง
ทั้งนี้ แพกเกจสินเชื่อวงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี สามารถใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ไม่เกิน 50% ของวงเงินอนุมัติ แต่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งนโยบายนี้จะเป็นหนึ่งนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงฯ ที่ทางกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้ปรับปรุงกระบวนการคัดกรอง วิเคราะห์ และอนุมัติสินเชื่อให้มีความสะดวกรวดเร็ว และติดตามผลลัพธ์จากการปล่อยสินเชื่อ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคลสมัครขอสินเชื่อดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ www.smerescuecenter.com ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป คาดว่าสินเชื่อตัวใหม่นี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาท
สำหรับกองทุนเอสเอ็มอีฯ จะมุ่งเน้นช่วยเหลือสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในสาขาธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (Agro Industry) ทั้งที่เป็นอาหาร และที่ไม่ใช่อาหาร สาขาอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry) และธุรกิจอื่นๆ ที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกิจการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (Digital Transformation)
“กองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 อนุมัติสินเชื่อแก่เอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศไปแล้ว 10,567 ราย เป็นจำนวนเงิน 16,127 ล้านบาท ปัจจุบันยังเหลือวงเงินสินเชื่อที่จะปล่อยสินเชื่ออีก 3,000 ล้านบาท ซึ่งได้มีการออกแบบแพกเกจใหม่ที่ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และเศรษฐกิจดิจิทัล” นายสุริยะกล่าว