ปตท.เผยค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ส่งกระทบต่อผลดำเนินงานกลุ่มปตท. โดยทุก1บาทกระทบ2พันล้านบาท แย้มปีหน้าจ่อออกหุ้นกู้ในรอบหลายปี หลังเงินสดในมือเข้าสู่ภาวะปกติ
นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่ม ปตท.ที่มีรายได้ส่วนใหญ่อิงสกุลดอลลาร์สหรัฐ และเงินกู้บางส่วนก็อิงสกุลดอลลาร์สหรัฐเช่นเดียวกัน จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยธรรมชาติ (natural hedge)ไม่ได้ทั้งหมด โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท/ดอลลาร์ กระทบต่อผลการดำเนินงานราว 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ งบการเงินรวมของปตท. ณ สิ้นเดือนมิ.ย.62 มีภาระหนี้ 4.97 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ภาระหนี้สกุลเงินบาท 3.09 แสนล้านบาท หรือราว 62% และสกุลดอลลาร์สหรัฐและอื่น ๆ 1.88 แสนล้านบาท หรือราว 38% ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น5.7%เมื่อเทียบสิ้นปี61 มาอยู่ที่30.40บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งค่า จึงเป็นจังหวะที่ปตท.จะเร่งลงทุนในการนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องจักรได้ต้นทุนที่ต่ำลง และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
นางสาวพรรณนลิน กล่าวต่อไปว่า ในปี 62 ปตท.มีการใช้เงินค่อนข้างมาก โดยใช้เงินในการเพิ่มทุน บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราว 1.7 หมื่นล้านบาท และจ่ายภาษีสำหรับกำไรจากการการขายสินทรัพย์ให้บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ราว 1.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการจ่ายคืนเงินกู้ราว 2.6 หมื่นล้านบาท ตลอดจนมีการลงทุนอื่น ๆ อีกตามปกติ ส่งผลให้ขณะนี้เงินสดในมือของปตท.ปรับตัวลงสู่ระดับปกติอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท
ส่วนปีหน้า ปตท.มีแผนออกหุ้นกู้เพื่อใช้ลงทุนโครงการต่างๆ หลังจากไม่ได้ออกหุ้นกู้มาหลายปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแผนการใช้เงินของปตท. เพื่อรองรับการลงทุนตามแผนงาน และงบลงทุนในอนาคต (Provision) ทำให้ปตท.เริ่มพิจารณาการจัดหาเงินกู้ใหม่ โดยการลงทุนตามแผนงานปตท.ในปี2563 ประกอบด้วยโครงการสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สร้างสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal ) แห่งที่ 2 โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เป็นต้น ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ยังจัดอยู่ในงบลงทุนในอนาคต