นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังให้ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชียเข้าพบว่า ทางสายการบินได้นำเสนอแนวคิดในการนำนวัตกรรมระบบเช็กอินด้วยใบหน้า (FACEs Recognition) มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วกับผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบันสายการบินแอร์เอเชียให้บริการเส้นทางบินใน 20 ประเทศ โดยได้มีการใช้ทดลองและใช้ที่ประเทศมาเลเซียแล้ว จึงต้องการที่จะทดลองใช้กับประเทศไทย ซึ่งระบบเช็กอินด้วยใบหน้า มีเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องขออนุญาต เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สำนักทะเบียน กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่เกี่ยวโยงถึงมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ด้วย ดังนั้น จะต้องศึกษาการพัฒนาและการให้บริการที่ทันสมัยต้องควบคู่ไปกับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมและข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
ทั้งนี้ จึงได้ตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทาง โดยมีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีด้านโครงสร้างพื้นฐาน กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งความมั่นคง และด้านการบิน ทำการศึกษาผลดีผลเสียและให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ปลอดภัยมากที่สุด ให้เวลาภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ หากยังไม่แล้วเสร็จให้ขยายเวลาศึกษาได้ภายใน 15 วัน ซึ่งหลังศึกษาเสร็จ มีการตกลง ว่าจะให้ทำการทดสอบที่สนามบินบุรีรัมย์, น่าน, นครพนม และร้อยเอ็ด
นอกจากนี้ ทางแอร์เอเชียได้เสนอให้เร่งขยายทางวิ่ง (Runway) สนามบินเบตงและสนามบินแม่สอด จาก 1,800 เมตร เป็น 2,100 เมตร เพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่รองรับการท่องเที่ยวเมืองรองของไทย ซึ่งการขยายทางวิ่งสนามบินแม่สอดจะเสร็จปี 2563 ส่วนสนามบินเบตงนั้นรองรับเครื่องบินใบพัด ซึ่ง ทย.ได้มีแผนการศึกษาเปลี่ยนแปลงรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในปี 2564 และจะดำเนินการจัดซื้อที่ดิน 60 ไร่ วงเงิน 100 ล้านบาท และเตรียมจ้างสำรวจออกแบบ และก่อสร้างในปี 2564 คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังให้ปรับปรุงความแข็งแรงทางขับทางวิ่งและหลุมจอดเพื่อรองรับอากาศยานขนาด A320 Neo รวมถึงการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยด้านเกี่ยวกับอากาศยานชนนกที่สร้างความเสียหายแก่อากาศยาน และการพิจารณาลดภาระต้นทุนด้านภาษีน้ำมันให้กับสายการบิน ซึ่งปี 2563 จะดำเนินการ 7 แห่ง ได้แก่ น่าน, นครพนม, นราธิวาส, บุรีรัมย์, ระนอง, แม่ฮ่องสอน และเพชรบูรณ์ และปี 2564 จะดำเนินการที่ตรัง, ร้อยเอ็ด, นครศรีธรรมราช, เลย และชุมพร
นอกจากนี้ ยังขอให้ดำเนินการเรื่องอากาศยานชนนก Bird Strike เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากนก โดยเฉพาะสนามบินที่มีแหล่งน้ำ ซึ่ง ทย.ใช้กระบวนการพื้นฐานในการป้องกันนก ซึ่งลดความกังวลใจได้ ส่วนแผนในการจัดหาเครื่องมือ เนื่องจากมีมูลค่า 100 ล้านต่อลำจึงต้องเข้ากระบวนการตั้งงบประมาณต่อไป
ด้านนายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV) และสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) กล่าวว่า แต่ละปีเรามีผู้โดยสายประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเคาน์เตอร์เช็กอินปกติใช้เวลา 90 วินาที ผู้โดยสารอาจจะไม่สะดวก ขณะที่ระบบเช็กอินด้วยใบหน้าผู้โดยสารใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่งเหลือไม่เกิน 45 วินาที อีกทั้งมีความปลอดภัย การยืนยันตัวบุคคลและประหยัดพื้นที่เช็กอินอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสนามบินที่นำมาใช้ เช่น สนามบินชางฮี (สิงคโปร์), สนามบินฮีทโธรว์ (อังกฤษ) และสนามบินบังคาลอร์ (อินเดีย)
ขณะนี้เป็นการนำเสนอแนวคิด ซึ่งต้องศึกษาและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าจะทำได้อย่างไร ซึ่งรมช.คมนาคมได้ตั้งคณะทำงานแล้ว จากนั้นเมื่อสรุปศึกษา และได้รับอนุญาตจะเป็นการทดลองที่สนามบินอุดรธานี, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์