ร.ฟ.ท.ปฏิบัติการทวงคืนพื้นที่ 35 ไร่ บางซื่อ จากผู้บุกรุก เคลียร์ไซต์ก่อสร้างรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 รวมถึงที่ได้รับเงินค่ารื้อถอนแล้วแต่ไม่ยอมย้ายออก เผยก่อน ต.ค.ต้องเตรียมความพร้อมโรงซ่อมบำรุงเพื่อเก็บขบวนรถ
วันนี้ (20 ก.ย.) นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กองบัญชาการตำรวจจราจร 02 กองบังคับการตำรวจรถไฟ สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.บช.น) และสำนักงานเขตจตุจักร (กทม.) ในการสนธิกำลังดำเนินการปฏิบัติงานลงพื้นที่การทวงคืนพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ครอบครองของการรถไฟฯ ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1
นายวรวุฒิเปิดเผยว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 ในปัจจุบันใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ในพื้นที่ก่อสร้างยังมีผู้บุกรุกอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟฯ ที่ยังไม่ได้มีการรื้อย้ายออก ทำให้ผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานที่กำหนด ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างฯ และผู้รับจ้างอาจถือเป็นเหตุขอขยายระยะเวลาสัญญาจ้าง ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหายอย่างยิ่ง
ดังนั้น การรถไฟฯ ต้องดำเนินการผลักดันผู้บุกรุกในพื้นที่การก่อสร้าง ประกอบด้วย
1. พื้นที่งานสัญญาที่ 1 พื้นที่งานก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและเก็บรักษาขบวนรถไฟฟ้า ที่ผู้บุกรุก
กีดขวางงานก่อสร้าง
2. พื้นที่งานก่อสร้างถนนและแนวรั้วรอบพื้นที่โครงการฯ สถานะผู้รับจ้างฯ ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ดังนี้
2.1 พื้นที่บริเวณใต้ทางยกระดับเข้าออกสถานีกลางบางซื่อ
2.2 พื้นที่บริเวณสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่)
2.3 พื้นที่ห้องแถวชั้นเดียว 20 ห้อง ฝั่งถนนกำแพงเพชร 2 (พื้นที่ 35 ไร่) จ่ายค่ารื้อถอนแล้วผู้บุกรุกไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง
2.4 พื้นที่บริเวณอาคารพักอาศัยอาคารโฮปเวลล์ 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หลังสถานีบริการก๊าซ NGV เดิม
3. พื้นที่บริเวณริมถนน BS7 มีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจและค้าขาย โดยไม่มีสัญญากับการรถไฟฯ ตามระเบียบที่กำหนดเงื่อนไขไว้
ผู้บุกรุกที่อยู่ในพื้นที่ในปัจจุบันเป็นผู้บุกรุกรายใหม่ที่การรถไฟฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ก่อสร้างของโครงการฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และปัจจุบันการรถไฟฯ ไม่ได้มีการให้เข้าใช้พื้นที่บริเวณนี้กับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ การรถไฟฯ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การก่อสร้างของโครงการฯ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้การรถไฟฯ จะทำการขนย้ายขบวนรถไฟฟ้าของโครงการเข้ามาเก็บในพื้นที่โรงงานซ่อมบำรุงในบริเวณใกล้เคียงกับผู้บุกรุกอยู่อาศัย ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีมูลค่าสูงและยังเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำเฉพาะ หากเกิดความเสียหายหรือสูญเสียอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาเปิดการให้บริการเดินรถที่กำหนดไว้ด้วย
ในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ และผู้เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดประกาศขับไล่ผู้บุกรุก ได้มีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีการนำรถยนต์จอดปิดทางเข้า-ออก พื้นที่สถานีบริการก๊าซ NGV เดิม เพื่อไม่ให้รถบัสร่วมบริการของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตลอดจนผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่ 35 ไร่ ออกจากพื้นที่เพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในวันนี้ หากมีการขัดขวางการปฏิบัติการดังกล่าว การรถไฟฯ จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะทำการขนย้ายรถยนต์ที่ผู้บุกรุกใช้ปิดกั้นพื้นที่เพื่อไม่ให้รถบัส รถตู้ หรือรถของประชาชนเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าว และจะดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้นั้นจนถึงที่สุด
ส่วนประเด็นที่ผู้บุกรุกพื้นที่อ้างว่าการรถไฟฯ เคยได้งบอนุมัติมาจำนวน 100 ล้านบาทเพื่อทำการจ่ายชดเชยให้ผู้เข้าพื้นที่ดำเนินการรื้อถอน แต่ไม่เคยจ่ายให้แก่ผู้เช่านั้น นายวรวุฒิระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมาคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นผู้ที่บุกรุก และการรถไฟฯ ไม่เคยมีสัญญาเช่าด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่การรถไฟฯ จะไปของบประมาณมาจ่ายชดเชยให้
ขณะที่ประเด็นที่ต้องเร่งรัดการรื้อย้ายนั้น ก็เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลและการรถไฟฯ ก็พยายามเร่งรัดแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดกรอบเวลาไว้