การตลาด - ตลาดความงามคลินิกและศัลยกรรมมูลค่า 60,000 ล้านบาท ตลาดนี้กลายเป็นทะเลเดือด ตัวจริงเท่านั้นที่อยู่รอด สงครามโปรโมชัน หั่นราคา ทำธุรกิจพัง หลายคลินิกก้มหน้าปิดตัวพอๆ กับเกิดใหม่ กลายเป็นธุรกิจที่คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ผู้บริโภคต้องรู้ทัน อย่าเห็นแก่ของถูก ฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม เอาต์แล้ว อยากสวยต้องดูแลตั้งแต่ระดับเซลล์ ยุคใหม่คลินิกความงาม
ความสวยมีราคา! ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว สำหรับการทำศัลยกรรมความงาม ผ่านปลายเข็มและมีดหมอ ส่งผลให้คลินิกความงามเกิดขึ้นเป็นรายวัน หรือในปัจจุบันพบว่าจํานวนคลินิกความงามในไทยมีจำนวนรวมกว่า 3,000-4,000 แห่ง แบ่งออกเป็น 1. ระดับบน เป็นกลุ่มโรงพยาบาล มี 30 ราย เช่น ยันฮี, บางมด เป็นต้น 2. ระดับกลาง เป็นกลุ่มเชนคลินิก มี 100 ราย เช่น วุฒิศักดิ์คลินิก นิติพนคลินิก ธนพรคลินิก เป็นต้น 3. ระดับล่าง เป็นคลินิกทั่วไป มีกว่า 500 ราย
แพทย์หญิง ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ ประธานบริหาร บริษัท ของขวัญ คลินิก เวชกรรม จำกัด แบรนด์ “ของขวัญ คลินิก” กล่าวว่า ภาพรวมคลินิกความงามมูลค่านับหมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันใครๆ ก็เปิดได้ ทำให้มีคลินิกความงามเกิดขึ้นใหม่มากมายแต่ก็หายไปมากมายเช่นกัน ส่วนสำคัญเพราะไม่มีความชำนาญในการบริหารธุรกิจนี้ ในสถานการณ์ที่ราคากลายเป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการ ดังนั้นจึงหันมาให้ความสำคัญในเรื่องราคา ทำโปรโมชันแย่งชิงลูกค้ากัน สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้
"ตอนนี้ประเทศไทยมุ่งเน้นบริการความงามทุกความงาม แต่ก็ไปมุ่งเรื่องราคา ซึ่งหมอเป็นห่วงมากๆ ให้ดูที่ความน่าเชื่อถือ และเทรนด์ความงามของแต่ละคนก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจาก สิว ฝ้า อ้วน ย่น หย่อน ยาน และอยากกลับไปหน้าเด็ก ผิวดี แค่นี้ ไม่มีอะไร ซึ่งหมอก็คิดว่าในอนาคตมันก็เป็นแบบนี้ตลอดไป ที่สำคัญ ตลาดธุรกิจความงามในประเทศไทยเริ่มเป็นแบบ Red Ocean คือคนที่ไม่ได้เป็นหมอสามารถออกมาเปิดคลินิกได้ มาหั่นราคาและใช้ยาปลอม และตอนนี้ยาปลอมก็ออกมาเต็มตลาดมาก แม้แต่หมอดีลทีหนึ่งเป็นแสนกล่อง มี 10 กว่าสาขา ใช้วันหนึ่งก็เป็นพัน ยังไม่ได้ราคานั้นเลย ก็อยากจะฝากไว้ว่าอะไรที่ฉีดเข้าตัวแล้วมันเอากลับออกมาไม่ได้ แต่เราจะเอาราคาขึ้นมาเพื่อเป็นจุดตัดสินใจ หมอว่าตรรกะนี้มันไม่ใช่"
ดังนั้น การตัดสินใจใช้บริการควรต้องศึกษาให้ดี อย่าเห็นแก่ของถูก เพราะของถูกไม่ได้ดีเสมอไป รวมถึงควรใช้บริการกับหมอผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะปัจจุบันการเปิดคลินิกความงามไม่ใช่หมอก็เปิดได้ ควรศึกษาให้ดี เพราะเราจะเห็นข่าวการจับยาปลอมกันมากมาย ของขวัญคลินิกจึงมีแนวคิดที่จะทำนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา เป็นการใช้เงินลงทุนที่สูง เพราะการทำคลินิกไม่ใช่มีแค่ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ หรือร้อยไหม แต่มันเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ในการดูแลและรักษาคนไข้ ฉะนั้นเป็นเรื่องของ holistic หรือองค์รวม บวกกับ Anti-Aging และประสบการณ์ที่มี คือจะดูคนไข้ในองค์รวมว่าแผลคนไข้หายดีแค่ไหน คือสิ่งที่จะเสริมเข้ามา
สอดคล้องกับทาง ดร.พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังและการชะลอวัยแบรนด์ Vital Glow Skin & Aesthetic ที่ได้กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดความงามและสุขภาพมูลค่า 2.5 แสนล้านบาทในประเทศไทย มองว่ายังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดความงามคลินิกและศัลยกรรมมีมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท อัตราเฉลี่ยเติบโตปีละไม่น้อยกว่า 10%
นอกจากนี้ ยังพบว่าประเทศอาเซียนเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของการลงทุนและขยายธุรกิจด้านคลินิกความงาม เนื่องจากประเทศในอาเซียนมั่นใจในศักยภาพและคุณภาพสินค้าของประเทศไทย เช่น เรื่องอาหารสุขภาพ, เมกอัพ, สกินแคร์ และศัลยกรรม เป็นต้น สอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่าภาพรวมความงามและสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 900,000 ล้านบาท โต 15-20% โดยกว่า 60% มาจากอาเซียนคิดเป็น 500,000 ล้านบาท และนอกอาเซียน 40% หรือกว่า 400,000 ล้านบาท
**โบท็อกซ์ ร้อยไหมเอาต์แล้ว เทรนด์ใหม่ต้องสวยระดับเซลล์**
แพทย์หญิง ของขวัญ กล่าวถึงเทรนด์ใหม่ด้านความงามว่า วิธีการดูแลความงามอย่าง ฉีดโบท็อกซ์ ร้อยไหม หรือกรรมวิธีต่างๆ ที่ผ่านมีดหมอถือเป็นเรื่องเก่าแล้ว แต่หลังจากนี้การดูแลความงามให้เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับเซลล์จะเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยของขวัญคลินิก ในโอกาสการฉลองครบรอบ 13 ปีนี้ ล่าสุดได้นำเอา “นวัตกรรมแบบองค์รวม” ที่ช่วยให้คนไข้สวยใสไปถึงระดับเซลล์ล์มาใช้กับลูกค้า กล่าวคือ เป็นการย้อนเวลากลับไปเหมือน "ไทม์แมชชีน" (Time machine) เพื่อให้เราสวยเหมือนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้เข็ม มีด หรือยาแปลกปลอมน้อยที่สุด
"การนำนวัตกรรมนี้เข้ามาใช้เนื่องจากว่าเป็น "ไทม์แมชชีน" เพราะร่างกายฉลาดที่สุด ดังนั้นคือเราอยากจะทำให้ร่างกายกลับไป Fresh ได้ดีเหมือนเดิมก็ต้องทำสิ่งที่ฉลาดที่สุด นั่นก็คือสิ่งที่ร่างกายทำกลับมา ต้องบอกว่าการดูแลคนไข้แบบองค์รวมเป็นประสบการณ์ที่หมอทำมาตลอด 15 ปี"
ที่สำคัญ ของขวัญคลินิกพร้อมนำเสนอบริการที่มากขึ้นในรูปแบบของความเป็นไฮเอนด์คลินิก โดยหลังจากนี้จะมีการจับมือกับแบรนด์อื่นเพื่อทำให้ของขวัญคลินิกก้าวสู่การให้บริการด้านความงามเต็มรูปแบบมากที่สุดในประเทศไทย จากปัจจุบันของขวัญคลินิกให้บริการทั้งสิ้น 17 สาขา ทั้งในไทย ลาว จีน และที่กำลังพูดคุยกันอยู่กับทางอินโดนีเซีย โดยในแง่รายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 20-25%
เช่นเดียวกับทางศูนย์ผิวหนังและการชะลอวัยแบรนด์ Vital Glow Skin & Aesthetic โดย ดร.พิมพ์ขวัญ กล่าวว่า ทางเราได้ตระหนักการทำแบรนด์ Vital Glow Skin & Aesthetic อย่างยั่งยืน ภายใต้สโลแกน “Beauty from inside out-สวยจากภายในสู่ภายนอก” เน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งชาย-หญิง ตั้งแต่เริ่มทำงานถึงวัยกลางคน อายุตั้งแต่ 25-45 ปี ให้บริการเป็นประเภทเน้นการดูแลและใส่ใจสุขภาพความงาม และเลือกเฟ้นการบริการที่ใส่ใจจริงใจ นับเป็นจุดเด่นของแบรนด์เราเนื่องจากสถานที่เราบริเวณชั้น 3 ในโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 การบริการจึงต้องให้เท่าเทียมกับในโรงพยาบาลเช่นกัน เพื่อให้ลูกค้าประทับใจ ความสำคัญที่เราไม่ละเลยคือ เรื่องให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าอย่างจริงจัง เน้นแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และดีไซน์โปรโมชันที่ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ทาง Vital Glow Skin & Aesthetic ยังมีโปรดักต์กลุ่มสกินแคร์เพื่อบำรุงผิวพรรณกว่า 6 SKU ราคาตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป เป็นโปรดักต์ที่คุณภาพสูง ปลอดภัย ราคาปานกลาง เพื่อให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ยังเน้นการขายภายในคลินิกและออนไลน์ผ่านสังคมออนไลน์ของแบรนด์เท่านั้น และยังวางกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์สื่อสารไปยังลูกค้าผ่านสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบกว่า 80%
นอกจากนี้ยังพร้อมวางแผนไม่หยุดพัฒนาสรรหานวัตกรรมเทคโนโลยีทันสมัย สิ่งนี้เองทำให้ลูกค้าเราทุกคนสามารถมั่นใจได้ว่าของเรามีมาตรฐาน JCI แบบสากล ฉะนั้นจึงต้องวางกลยุทธ์การตลาดและการประชาสัมพันธ์ในไตรมาส 4 ของปี 2562 เป็นต้นไป ด้วยการสร้างจุดเด่นและความน่าสนใจในรูปแบบ Community Content Online ฉีกความต่างชูความเข้าใจในปัญหาเรื่องผิวพรรณ สุขภาพ และเกร็ดความรู้ เพื่อประโยชน์ของลูกค้าอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม Vital Glow Skin & Aesthetic ดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 5 จากกลยุทธ์ “ปากต่อปาก” ก้าวต่อไปจากนี้จะเน้นไปด้านการรักษาฐานลูกค้าเก่าและต่อยอดเพิ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 10% ในปี 2563 พร้อมการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ครอบคลุมไปถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ให้ได้คุณภาพสูง
**ต่อยอดคลินิกสู่ผลิตภัณฑ์**
จากการแข่งขันคลินิกความงามที่รุนแรง โปรโมชันและบริการต่างๆ ถูกหั่นราคาเพื่อดึงรายได้เข้ากระเป๋า ซึ่งมีหลายๆ รายที่ต้องปิดตัวลงเพราะขาดทุน และอีกหลายรายยังคงเอาตัวรอดได้ ด้วยการลดความเสี่ยงนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านความงามออกมาสร้างรายได้อีกทาง ถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่เรียกลูกค้าให้กลับมาใช้บริการซ้ำได้
เห็นภาพชัดเจน จากนโยบายของทาง "วุฒิศักดิ์คลินิก" โดยนายกวิน สัณฑกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารแบรนด์วุฒิศักดิ์ ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า หลังจากที่วุฒิศักดิ์ได้ปรับโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อรุกตลาดความงามครบวงจร ทั้งการทำรีเทล คลินิก บริการความงามต่างๆ สินค้าคอสเมติกส์ ที่ปรึกษา การอบรม และอื่นๆ เพื่อเป็นบิวตี้ลีฟวิ่งเต็มรูปแบบ
โดยธุรกิจใหม่ที่ขยาย ได้แก่ 1. วุฒิศักดิ์ คอสเมติกส์ มี 2 ส่วน คือ แบรนด์วุฒิศักดิ์ มีเจลอาบน้ำและบอดี้โลชั่น และโอนแบรนด์ หรือวุฒิศักดิ์ ซีเล็ค คือบริษัทเลือกสรรสินค้าที่ดีมีศักยภาพและพัฒนาเป็นของเราเอง มีเครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เริ่มด้วยแบรนด์ "สเนลเอท" ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสกัดจากเมือกหอยทาก
2. วุฒิศักดิ์ บิวตี้ สเตชัน คอนเซ็ปต์สโตร์ ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสราชดำริ เป็นแบบป็อปอับ จะเปิด 1 ปี มี 11 บูทกระจายไป รวมพื้นที่ 157 ตารางเมตร มีบริการใหม่ๆ เช่น สปาเล็บ การต่อขนตา ทรีตเมนต์ใบหน้า บิวตี้ขา เป็นต้น โดยภายในต้นปีหน้าจะเปิดป็อปอัพอีกอย่างต่ำ 4 แห่งที่ไม่ใช่บีทีเอส และบริการใหม่เหล่านี้จะเปิดเป็นร้านเฉพาะแบบแฟรนไชส์ในอนาคตด้วย อีกทั้งยังได้เปิดตัวไลน์ออฟฟิศเชียลของวุฒิศักดิ์คอสเมติสก์ เพื่อรองรับระบบสมาชิกและการจองสินค้ารวมถึงการบริการต่างๆ ภายในบิวตี้สเตชันในรูปแบบออมนิแชนเนล
ส่วนคลินิกของบริษัทเองมี 19 สาขา และแฟรนไชส์ รวมทั้งหมดเป็น 53 สาขา ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2562 นี้ไว้ที่ 500 ล้านบาท แยกเป็น คลินิก 200 ล้านบาท และคอสเมติกส์ 300 ล้านบาท ส่วนภายใน 3 ปีจากนี้เป้าหมายรวมเป็น 4,000 ล้านบาท