นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานแลกเปลี่ยนสายทางระหว่าง กรมทางหลวง (ทล.) และ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ว่า ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้กำหนดเพื่อเป็นการประเมินประสิทธิภาพ หรือตัวชี้วัด ระบบการบริหารราชการของหน่วยงาน ซึ่งในส่วนของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ได้หารือร่วมกันในการแลกเปลี่ยนถนนในความรับผิดชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับกายภาพและการบริหารจัดการของแต่ละหน่วยงาน
ทั้งนี้ ภายใต้หลักการ คือ กรมทางหลวง บริหารและดูแลถนนที่เป็นเส้นทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงที่เชื่อมต่างประเทศ (AH) หรือถนนที่ทีขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไป ส่วนกรมทางหลวงชนบท จะดูแลถนนที่ต่อเชื่อมกับทางหลวง เพื่อเข้าสู่ท้องถิ่น ถนนท่องเที่ยว หรือถนนขนาด 2 ช่องจราจร เป็นต้น ซึ่ง ที่ผ่านมา ทั้ง 2 หน่วยงานได้ ได้พิจารณาสายทางของตนเอง ที่เห็นว่ามีความเหมาะสมในการแลกเปลี่ยนไปยังอีกหน่วยงาน
โดยเบื้องต้น ที่ประชุมรับทราบตรงกันว่า จะมีถนนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ที่จะมีการแลกเปลี่ยนไปกัน คิดเป็นระยะทางรวมประมาณ 150 กม. ซึ่งมีรายชื่อสายทางแล้ว ได้มอบหมายให้ทั้ง 2 หน่วยงานจัดทำรายละเอียด คู่มือการแลกเปลี่ยน พร้อมทั้งขั้นตอนการอนุมัติจากอธิบดีของทั้ง 2 หน่วยงาน เพื่อเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยน ซึ่งในปี 2563 จะเริ่มการโอนถนน ในสัดส่วน 25% และปี 2564 โอนอีก 75% ที่เหลือ โดยมีข้อตกลงการแลกเปลี่ยนนั้น ถนนที่จะพร้อมโอนนั้น ต้องเป็นสายทางที่มีสภาพสมบูรณ์ หากถนนที่ต้องโอนมีสภาพชำรุดต้องดำเนินการซ่อมบำรุงให้เรียบร้อยก่อนโอน
“ตัวอย่างถนนของกรมทางหลวงชนบท ที่จะแลกเปลี่ยนให้ กรมทางหลวง เช่น สายทางแยกแผ่นดินหมายเลข 4 จ.ประจวบคีรีขันธ์ เชื่อมเข้าด่านสิงขร ระยะทางกว่า 10 กม. ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมกับ ทางหลวงหมายเลข 4 ของกรมทางหลวง และเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ ที่ด่านสิงขร เข้าข่ายที่ควรให้กรมทางหลวงรับดูแลตลอดสาย ส่วนถนนของกรมทางหลวงที่จะมอบให้กรมทางหลวงชนบทดูแล ส่วนใหญ่เป็นถนนที่มีหมายเลข 4 ตัว ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่างจังหวัดกับอำเภอ หรือสถานที่สำคัญของจังหวัด”
