ผู้จัดการรายวัน 360 - อีคอมเมิร์ซ 3 ล้านล้านบาท ปีนี้คาดโต 10% เหตุแม่ค้าออนไลน์มีทุกซอย ดันบริการรับส่งสินค้าแข่งดุ 'ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส' สบช่องพร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกราย เดินหน้าจีบร้านกาแฟ แม่ค้าออนไลน์ ผุด "ศูนย์รวมบริการขนส่งชั้นนำของไทย" จูงใจลงทุนต่ำกำไรสูง เป้า 1,000 สาขาปีนี้
นายสฐีรณัฐ ลาภไกวัล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส จำกัด (SHIPSMILE SERVICES) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มธุรกิจออฟไลน์แบบครบวงจร หรือระบบโปรแกรมหน้าร้านเสมือนร้านสารพัดงานบริการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจุดให้บริการรับส่งพัสดุยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ ในยุคที่ทุกพื้นที่ทุกตรอกซอกซอยมีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เต็มไปหมด การเข้ามาใช้บริการฝากส่งสินค้า ณ จุดให้บริการหลักนั้นกลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพราะมีการต่อคิวหลายราย แต่ละรายยังส่งสินค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานานมาก ไม่สะดวกสบาย ส่วนจุดรับฝากย่อยกลับมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ
ส่งผลให้ชิปป์สไมล์มองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น จึงได้ให้บริการศูนย์รวมบริการขนส่งชั้นนำของไทย ในชื่อ 'ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส' ขึ้น ปัจจุบันมีกว่า 600 แห่ง หลังจากนี้จะมุ่งขายแฟรนไชส์ทั้งในลักษณะหน้าร้านเต็มรูปแบบ และแบบจุดดรอปออฟ ตั้งเป้าถึงสิ้นปีนี้จะขยายสาขารวมกันได้กว่า 1,000 สาขา โดยกว่า 90% จะเป็นแบบดรอปออฟ และ 10% เป็นหน้าร้าน หรือสิ้นปีนี้บริษัทน่าจะมีรายได้กว่า 200 ล้านบาท
"โมเดลของศูนย์ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส คือการให้บริการรับส่งพัสดุ 90% และบริการจ่ายบิลอื่นๆ 10% โดยเปิดกว้างกับพันธมิตรผู้ให้บริการรับส่งพัสดุทุกราย เริ่มต้นที่ 25 บาท ถูกสุดในตลาด ซึ่งขณะนี้มี 3 ราย คือ ไปรษณีย์ไทย อัลฟ่า และแฟลช เอ็กซ์เพรส อนาคตจะเพิ่มบริการใหม่ๆ เข้าไปด้วย เช่น ไฟแนนเชียล อย่าง เงินติดล้อ เป็นต้น"
นายสฐีรณัฐ กล่าวต่อว่า ศูนย์ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีหน้าร้านอยู่แล้ว และต้องการหารายได้เสริม โดยเฉพาะกลุ่มร้านกาแฟ รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยตรง ซึ่งการซื้อแฟรนไชส์ ศูนย์ชิปป์สไมล์ เซอร์วิส มีจุดแข็งที่ราคาถูกสุดในตลาด เพียง 2.9 หมื่นบาทสำหรับหน้าร้านเต็มรูปแบบ ส่วนแบบดรอปออฟเพียงหลักพันบาท การคืนทุนและกำไรดีกว่าเพราะดีลกับผู้ให้บริการโดยตรง และเปิดกว้างกับผู้ให้บริการรับส่งพัสดุทุกราย ไม่เจาะจงเพียงรายเดียวอย่างเจ้าอื่น และไม่ใช่เทิร์ดปาร์ตี้อย่างโมเดลอื่นๆ จึงเหมาะกับแม่ค้าออนไลน์ที่จะทำให้เซฟต้นทุนและมีกำไรมากขึ้นจากการส่งสินค้า
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เมื่อปลายปี 2561 ประเมินว่ามูลค่าการซื้อขายออนไลน์อยู่ที่ 3.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9-10% คาดการณ์ว่าจากนี้ไปจนถึงปี 2565 ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยน่าจะเติบโตขึ้นเฉลี่ย 22% และมีสัดส่วนการซื้อขายออนไลน์ที่สูงขึ้นเช่นกัน แม้ปัจจุบันจะมีเพียง 3% ของยอดค้าปลีกทั้งระบบ แต่เชื่อได้ว่าตลาดนี้จะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในยุค 4.0 ที่เปลี่ยนไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง