ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซิงเกอร์” ลงลึกระดับตำบล ขายแฟรนไชส์ร้านซิงเกอร์หวังปูพรมครบ 7,000 ตำบลทั่วประเทศภายในปี 2565 ดันยอดพอร์ตทะลุ 8,000 ล้านบาท
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะขยายสาขาหรือร้านซิงเกอร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศถึงระดับตำบล ด้วยการขายแฟรนไชส์ให้แก่ผู้ที่สนใจร่วมธุรกิจ โดยตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์หรือสาขาย่อยของบริษัทให้มีประมาณ 300 สาขาหลัก และ 7,000 สาขาย่อย ครอบคลุม 925 อำเภอ รวม 77 จังหวัด ภายในปี 2565 เพื่อสร้างการเติบโตมีรายได้เพิ่มเป็น 7 เท่าภายในปี 2565
จากปัจจุบันปี 2562 นี้ซิงเกอร์มีสาขารวมกัน 1,051 สาขา แบ่งเป็นร้านสาขาหลัก 182 สาขา ร้านแฟรนไชส์หรือสาขาย่อย 869 สาขา ครอบคลุม 763 ตำบล จาก 475 อำเภอ ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ขาดจังหวัดเดียว คือ แม่ฮ่องสอน ที่จะเปิดเร็วๆ นี้ หลังจากที่เคยมีสาขาและปิดไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ วางเป้าหมายที่จะต้องเปิดสาขาได้ประมาณ 150 สาขาต่อเดือนจากนี้เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเปิดสาขาเฉลี่ย 120-140 สาขาต่อเดือน ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2562 นี้จะมีรวมเป็น 200 สาขาหลัก กับอีก 2,000 สาขาย่อย
สำหรับโมเดลแฟรนไชส์ของซิงเกอร์จะไม่มีการเก็บค่าแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี ไม่ต้องลงทุนในการซื้อสินค้าไปสต๊อก ได้เป็นเจ้าของกิจการของตนเอง โดยในแต่ละโมเดลจะใช้ยอดขายเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดรูปแบบร้าน การวางสินค้า และการคิดคำนวณค่าตอบแทนการขายที่ไม่เหมือนกัน และขายสินค้าได้ทั้งในรูปแบบของระบบเงินสด และเงินผ่อน
สำหรับแฟรนไชส์มี 3 รูปแบบ และเงื่อนไขต่างกันไป แต่หลักๆ คือ 1. แบบสแตนดาร์ดหรือมาตรฐาน จะมีรายได้ดังนี้ 6% จากยอดขาย และค่าบริการเก็บเงินอีก 5-10% 2. แบบพรีเมียม รักษายอดขายไว้ที่ 3 แสนบาทต่อเดือน ค่าบริหารงานขาย 8% และค่าบริหารการเก็บเงิน 5-10% และ 3. แบบพาร์ตเนอร์ มียอดขาย 6 แสนบาทต่อเดือน ค่าบริหารงานขาย 10% และค่าบริหารการเก็บเงิน 5-10%
“ผู้เป็นแฟรนไชส์ไม่ต้องซื้อสินค้าจากเรา ไม่ต้องมีสต๊อก เพียงแต่มีคนค้ำประกันให้เท่านั้น ตามวงเงินที่รับสินค้าไป แต่จะมีรายได้จากการขาย การสร้างทีมขาย การบริหารบัญชีลูกค้าของตนเอง ขายสินค้าได้ทั้งระบบเงินสดและเงินผ่อน โดยจะได้รับเงินสัปดาห์ละ 2 ครั้งเข้าบัญชี และทุกสิ้นเดือนจะได้รับส่วนแบ่งที่เป็นอินเซนทีฟ โดยบริษัทจะเป็นผู้ดูแลด้วยการนำระบบที่ใช้งานได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และมีทีมงานบริหารหลังบ้าน (back office) คอยสนับสนุน” นายกิตติพงษ์กล่าว
สำหรับสินค้าและบริการมี 2-3 ระดับ และมีสัดส่วนรายได้ยอดขาย คือ 1. การทำคาร์ฟอร์แคชหรือนอนซิงเกอร์ มีสัดส่วน 50% และ 2. การขายสินค้าแบรนด์ซิงเกอร์ซึ่งจ้างผลิตทั้งหมด มีสัดส่วน 50% แต่ในแง่สินค้านั้นมี 3 กลุ่ม คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี ตู้เย็น แอร์ เครื่องซักผ้า สัดส่วน 65%, กลุ่มหยอดเหรียญ ตู้แช่ สัดส่วน 30% และกลุ่มมือถือ 5% โดยวางเป้าหมายจะปรับสัดส่วนเป็น กลุ่มนอนซิงเกอร์ 65% และการขายสินค้าแบรนด์ซิงเกอร์ 35% ในปีหน้า และภายในปี 2565 จะเป็นนอนซิงเกอร์หรือการปล่อยสินเชื่อ 75% ส่วนแบรนด์ซิงเกอร์ 25%
นายกิตติพงษ์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดสินเชื่อจากลูกหนี้หรือลูกค้าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยมีวงเงินหนี้สำรองประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน และจะเพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาทในปีหน้า และปี 2565 จะเพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท