“บิวตี้บุฟเฟต์” ดิ้นสู้กู้รายได้คืน

ผู้จัดการรายวัน 360 - “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ปรับแผน หลังรายได้หดกระทบมากที่สุด 22 ปีจาก ศก.ซบ ตลาดคนจีนหิ้วขายหายไป หวังดันปีนี้กลับมาฟื้นตัวบ้าง ลุ้นปีหน้าโต 20% เปิดโมเดลใหม่ลุยขายสินค้านอกเครือ ขยายตัวแทนในจีน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนธุรกิจใหม่เพื่อจะผลักดันให้ธุรกิจฟื้นตัวขึ้น โดยคาดหวังรายได้รวมปี 2562 นี้ 2,200 ล้านบาท หลังจากที่ยอดขายตกลงมาเรื่อยๆ จากปีที่แล้วยอดขาย 3,500 ล้านบาท ตกจากปี 2560 ที่ทำได้ 3,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นช่วงที่รายได้ลดลงมากที่สุดในรอบก่อตั้งมา 22 ปีก็ว่าได้

แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในปีหน้ารายได้จะกลับมาเติบโต 20% จากแผนที่เราทำไว้

“แม้ว่ารายได้รวมตก เพราะปัจจัยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจในไทยเอง ส่วนตลาดรวมความงามมีการแข่งขันที่สูง มีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท ปกติโตเฉลี่ย 7-8% แต่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตแค่ 2% เท่านั้นเอง และผลกระทบจากพ่อค้าแม่ค้าคนจีนมากกว่า 1,000 ราย ที่ก่อนหน้านี้มาซื้อเหมาจากร้านเราในไทยแล้วนำกลับไปขายต่อที่จีนเอง แต่เมื่อรัฐบาลจีนออกกฎหมายมาคุมเข้มทำให้ตลาดตรงนี้หายไปมากจึงกระทบต่อรายได้รวม แต่ฐานะทางธุรกิจของเรายังดีอยู่ เรายังมีกำไรสุทธิมากถึง 17% ขณะที่คนอื่นกำไรเบื้องต้นยังต่ำกว่าเรามากด้วยซ้ำไป”

แผนธุรกิจจากนี้ จะไม่เน้นการเปิดสาขามากเท่าไร ปัจจุบันมี 328 สาขา แบ่งเป็น บิวตี้บุฟเฟต์ 259 สาขา 2. ร้านบิวตี้คอตเทจ 69 สาขา และ 3. ร้านบิวตี้มาร์เก็ต 1 สาขา แต่จะปรับยุทธศาสตร์ใหม่ โดยร้านบิวตี้บุฟเฟต์ที่เป็นมัลติแบรนด์ แต่เดิมมีแต่สินค้าตัวเองเท่านั้น จะนำสินค้าอื่นนอกเครือเข้ามาจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ เริ่มกับพันธมิตร 14 รายนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในร้านบิวตี้บุฟเฟต์ เช่น คาร์มาร์ท สเนลไวท์ เป็นต้น เริ่มที่สาขาแรกที่เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ และจะเพิ่มอีก 3 สาขา คือ เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลชลบุรี และโรบินสันตรัง

ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายวางจำหน่ายอีก 120 สาขา ที่สามารถทำได้ ตั้งเป้าหมายสัดส่วนสินค้าบริษัทฯ 80% และพันธมิตร 20%

ส่วนร้านบิวตี้มาร์เกตจะเลิก และเปิดคอนเซ็ปต์ใหม่เป็นร้านแบบเฟสติวัลเอาต์เลต เริ่มต้นจะเปิดร้านแบบชั่วคราวตามงานต่างๆ และมีแผนจะเปิดเป็นร้านเฟสติวัลเอาต์เลตในอนาคต โดยปรับราคาสินค้าลงมาประมาณ 30%

ส่วนตลาดต่างประเทศจะขยายต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนซึ่งมีช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วมากถึง 10 แพลตฟอร์มใหญ่ และจะหาตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้องเพื่อทดแทนยอดขายที่หายไป เพราะจีนเป็นสัดส่วนรายได้มากถึง 70% จากรายได้ต่างประเทศ ส่วนอีก 30% มาจากประเทศอื่นๆ จากรายได้รวมต่างประเทศที่มีสัดส่วน 40% จากรายได้รวมบริษัทฯ และจะเพิ่มตลาดต่างประเทศด้วยการตั้งตัวแทนอีก 2 ประเทศ ที่พิจารณาอยู่คือ กัมพูชา รัสเซีย แคนาดา ดูไบ เป็นต้น จากขณะนี้มีแล้ว 13 ประเทศหลัก