ปตท.ยอมรับปีนี้กำไรต่ำกว่า 1.2 แสนล้านบาทหรือลดลงกว่าปี 61 พร้อมฉวยจังหวะค่าเงินบาทแข็งและดอกเบี้ยต่ำเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ได้อนุมัติไปในครึ่งหลังปีนี้ราว 3 หมื่นล้านบาท และลดพอร์ตการลงทุนธุรกิจถ่านหินลง
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ คาดว่ามีกำไรต่ำกว่าปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 119,683.94 ล้านบาท แต่ไม่เลวร้ายเท่ากับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 19,936.42 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งหลังปีนี้ทิศทางราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 65-68 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมทั้งค่าการกลั่นดีขึ้น และรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีพบว่ามาร์จิ้นอ่อนตัวลง
ในครึ่งหลังปี 2562 บริษัทจะรีบเร่งการลงทุนที่ตัดสินใจไปแล้ว โดย ปตท.จะเน้นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวหนองแฟบ โครงการพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) มีงบลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะใช้เงินลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีของบริษัทหลังอัตราดอกเบี้ยถูกลงและอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่า ขณะเดียวกันต้องเร่งดำเนินการโดยเร็วเพื่อรับรู้รายได้จากแหล่งปิโตรเลียมและโรงไฟฟ้าที่บริษัทในเครือ ปตท.ได้เข้าซื้อกิจการมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งโรงไฟฟ้าที่จะเข้าสู่ระบบในครึ่งปีหลังนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าน้ำลิก และโรงไฟฟ้าไชยะบุรี ที่ สปป.ลาว รวมทั้งวางแผนดำเนินการ Synergy ระหว่าง บมจ.โกลว์ พลังงานกับ บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
“เวลาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง คนจะไม่กล้าลงทุน แต่ ปตท.มีการตัดสินใจลงทุนไปแล้ว และเรามีเงินเหลือในการลงทุน ดังนั้น บริษัทฯ ก็จะเร่งรัดลงทุน เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกลับมาในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทก็สามารถรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มของไออาร์พีซี และพีทีที โกลบอล เคมิคอล ส่วนค้าปลีกไม่ห่วงเพราะเป็นการซื้อมาขายไป และมีการขยายตัวในประเทศเพื่อนบ้าน และรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. ดังนั้น ทั้งปี 2562 ปตท.ไม่เสียหายมาก เพราะได้ปรับตัวเยอะมาก มี Portfolio ที่บาลานซ์สัดส่วน 25-35% และที่สำคัญครึ่งหลังปีนี้บริษัทจะไม่มีการด้อยค่าฯ แน่นอน”
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทได้ปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของสงครามการค้า ก็จะหันไปหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม ขณะที่การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ก็จะให้ความสำคัญต่อการลงทุนในพอร์ตก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และการขยายในรูปแบบของ Gas to power ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการที่ได้อนุมัติแล้วให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
นายชาญศิลป์กล่าวถึงโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) และโครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ว่า ไม่เกินไตรมาส 4 นี้บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับอนุมัติเซ็นสัญญากับรัฐบาลทั้ง 2 โครงการ และคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2563
ส่วนความคืบหน้าการนำบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) นายชาญศิลป์กล่าวยืนยันว่า ปตท.จะนำ OR เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แน่นอน แต่จะเป็นช่วงเวลาไหนและราคาเสนอขายหุ้นเท่าไรยังต้องพิจารณาให้ดี เนื่องจาก ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเป็นต้องรอบคอบ และในวันนี้ (16 ส.ค.) ตนจะหารือกับ รมว.พลังงาน ก็จะมีการหยิบยกเรื่องการนำ OR เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย
นายชาญศิลป์กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนที่จะลดพอร์ตการลงทุนธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย หลังจากที่มองทิศทางระยะยาวความต้องการใช้ถ่านหินจะลดลงมากตามเทรนด์ของโลกที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาด และธุรกิจไฟฟ้าที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลดพอร์ตลงทุนดังกล่าว อาจจะเป็นการนำบริษัทที่ทำธุรกิจดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือหาพันธมิตร หรือการขายออกไป ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะมีความชัดเจนเมื่อใด
สำหรับ 6 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 55,250 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,567 ล้านบาท หรือลดลง 21% เนื่องจากผลดำเนินการกลุ่มปิโตรเลียมและการกลั่นปรับลดลง เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเกือบทุกประเภทลดต่ำลง กำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานที่ลดลงเช่นกัน จากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น