ผู้จัดการรายวัน 360 - “พรีม่า” ปรับตัวใหญ่รอบ 27 ปี ทุ่ม 50 ล้านบาทรีแบรนด์ใหญ่สู่แบรนด์เดียว ดึง “เบลล่า-ราณี แคมเปน” พรีเซ็นเตอร์ ชี้ตลาดช่องทางโมเดิร์นเทรดยังมีโอกาสอีกมาก หวังดันรายได้ปีหน้าสู่ 2,000 ล้านบาท
นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล กรรมการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด ผู้ทำตลาดเครื่องประดับแบรนด์พรีม่าโกลด์ พรีม่าไดมอนด์ และพรีม่าอาร์ท ในเครือ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 27 ปีตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจมา ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่
โดยการรวมแบรนด์ที่มีอยู่ทั้ง 3 แบรนด์ คือ พรีม่าโกลด์ (เครื่องประดับทองคำ 99.9%) พรีม่าไดมอนด์ (เครื่องประดับเพชร) และพรีม่าอาร์ท (หัตถศิลป์ทองคำ 99.9%) มารวมกันเป็นแบรนด์เดียวคือ พรีม่า เพื่อให้ง่ายต่อการทำตลาดและการสร้างแบรนด์
รวมทั้งการดึงผู้บริหารรุ่นใหม่นอกตระกูลเข้ามานั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเป็นครั้งแรกด้วย คือ “ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา” และการขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อเป็นการขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต โดยเบื้องต้นนี้ใช้งบการตลาดรีแบรนด์กว่า 50 ล้านบาท
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา (อดีตผู้บริหารการตลาดของมือถือแบรนด์หัวเว่ย) กรรมการผู้จัดการ พรีม่าโกลด์ฯ กล่าวว่า ตลาดรวมค้าปลีกเครื่องประดับแท้ไทยมีมูลค่ารวมกว่า 72,300 ล้านบาท ปีที่แล้วเติบโต 4.1% แต่ในช่วง 5 ปีหลังเติบโตเฉลี่ย 4.4% แต่หากมองในแง่ของตลาดที่เป็นช่องทางของโมเดิร์นเทรดนั้น ยังมีมูลค่าไม่มากนักเพียงแค่ 5,200 ล้านบาท หรือประมาณ 10% จากตลาดรวมเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ช่องทางโมเดิร์นเทรด (ร้านค้าที่เป็นเชนสโตร์มีหลายสาขา) แต่เป็นช่องทางที่มีการเติบโตที่ดีเป็นไปตามเทรนด์ของช่องทางโมเดิร์นเทรดที่สินค้าที่มีการเติบโตดีส่วนใหญ่จะเป็นช่องทางโมเดิร์นเทรดมากกว่าเทรดิชันนัลเทรด (พวกร้านเดี่ยวๆ ที่ไม่ได้เป็นเชนใหญ่) ทำให้บริษัทฯ มีแผนที่จะบุกตลาดมากขึ้น จากปัจจุบันพรีม่ามีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15-20% จากตลาด 5,200 ล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจจากนี้จะไม่เน้นการขยายร้านพรีม่าชอปมากนักแต่ยังพอมีขยายบ้างหากมีความเหมาะสม เนื่องจากว่าจำนวนที่มีอยู่ 70 กว่าสาขานั้นเพียงพอแล้ว มีสัดส่วนยอดขายกว่า 90% ส่วนช่องทางออนไลน์จะเน้นมากขึ้น สัดส่วนรายได้ขณะนี้ 10% แต่จะมากขึ้นในอนาคต ส่วนการวางสินค้าในร้านจะผสมผสานกันทั้งสามแบรนด์เดิม ตามสัดส่วนยอดขายที่มี คือ พรีม่าโกลด์ 45% พรีม่าไดมอนด์ 45% และพรีม่าอาร์ท 10% ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 19 สาขาแล้วที่มีการปรับสินค้าและมีจำหน่ายครบทั้ง 30 กลุ่มสินค้า จากทั้งหมด 71 สาขา และคาดว่าในปีนี้จะขยายได้อีกเป็น 50 สาขา
นายชาญวิทย์กล่าวต่อว่า การออกสินค้าในกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่นปีที่แล้วออกกลุ่มโมโมชิก จับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น ราคาเริ่มประมาณ 5,000 กว่าบาท จะใช้ลวดลายคาแรกเตอร์เข้ามาทำการออกแบบ ที่ผ่านมาทำกับ สนูปปี้ เฮลโลคิตตี้ เป็นต้น ทำให้ได้ขยายกลุ่มอายุ 20-25 ปีได้มากขึ้นด้วย และจะขยายกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีลงมามากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มหลักคือ อายุ 40 ปีขึ้นไปกว่า 50% ด้วยการออกแบบใหม่ๆ โดยสินค้าที่จำหน่ายดีอยู่ระดับราคา 50,000 บาท
นอกจากนั้นยังได้เปิดตัวแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนแรกในนามของแบรนด์เดียวคือ พรีม่า คือ “เบลล่า-ราณี แคมเปน” เพื่อตอบโจทย์ภาพลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ในอดีตเคยมีพรีเซ็นเตอร์เช่น สินจัย หงษ์ไทย ในนามพรีม่าโกลด์ มาก่อน โดยลูกค้าหลักที่มีประวัติการซื้อสูงสม่ำเสมอมีประมาณ 4,000 กว่าราย
นายชนัตถ์กล่าวด้วยว่า จากการรุกตลาดอย่างหนักจากนี้ หลังจากการรีแบรนด์และแผนการตลาดคาดว่าจะทำให้มียอดขายเติบโตขึ้น และทำรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากปี 2562 นี้ที่ทำได้ประมาณ 900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีนี้