"สนธิรัตน์" จองคิวเตรียมตรวจเยี่ยม ปตท.และ กฟผ. ภายใน ส.ค. หวังปรับบทบาทใช้กลไกของทั้งสองหน่วยงานขับเคลื่อน ศก.ฐานราก ทั้งขับเคลื่อนโครงการปุ๋ยสั่งตัด หนุนไทยศูนย์กลางพลังงานหมุนเวียนระดับภูมิภาค ดันพืชพลังงาน ผุดโรงไฟฟ้าชุมชน จ่อเปิดสำรวจฯ ปิโตรเลียมรอบใหม่ปี 63 เตรียมพื้นที่รองรับกว่า 17 แปลง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการรับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ว่า เร็วๆ นี้จะไปมอบนโยบายให้กับ บมจ.ปตท. และหลังจากนั้นประมาณปลายเดือน ส.ค.จะไปตรวจเยี่ยมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อที่จะปรับนโยบายและทิศทางการดำเนินงานให้สอดรับกับนโยบายกระทรวงพลังงานและนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานเพื่อตอบโจทย์ 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ลดความเหลื่อมล้ำ 2. สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีที่จะต้องไปเพิ่มเติมการดำเนินงานด้วยการยกระดับชุมชนนอกเหนือพลังงาน คือ การทำปุ๋ยสั่งตัดที่เป็นต้นทุนการผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศที่จะทำงานร่วมกับกลุ่ม ปตท. ที่สอดรับกับนโยบายของพลังงานที่มอบให้ ปตท.ไปศึกษาการเป็นสหกรณ์เพื่อยกระดับเป็น PTT-CO-OP ขณะเดียวกัน ปตท.จะมีส่วนในการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรโดยจะใช้กลไกกองทุนอนุรักษ์พลังงานมายกระดับเรื่องของบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ สถานที่ขายเพื่อให้ ปตท.เป็น อีคอมเมิร์ซของชุมชนด้วยนอกเหนือจากการตลาด ปตท.จึงเป็นกำลังหลักยกระดับให้กับชุมชน
สำหรับนโยบายกระทรวงฯ ที่จะมุ่งสร้างเศรษฐกิจฐานรากเบื้องต้นที่สำคัญคือ การพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชนที่จะลดค่าใช้จ่ายด้วยการผลิตเองใช้เอง และจะนำเอาพลังงานส่วนเหลือนั้นเป็นการสร้างรายได้และอาชีพให้ชุมชน โดยจะเปิดให้เกิดความร่วมมือกัน ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอีและชุมชน รวมถึงสินค้าเกษตรที่เป็นพื้นฐานหลักของชุมชนที่มองไปสู่การเพิ่มมูลค่าทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ซึ่งกระทรวงจะเร่งรัดให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันยังจะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาคโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน
"นโยบายพลังงานมุ่งที่จะเข้ามาแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรกร เช่น ปาล์มน้ำมัน และเอทานอล ซึ่งเกี่ยวกับการนำมาเป็นพลังงานทั้งไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์ รวมถึงมาตรการดูแลค่าครองชีพประชาชน ทั้งก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ไบโอดีเซลบี10 และบี20 ที่จะหมดมาตรการภายในเดือน ก.ย.นี้ ก็จะได้เตรียมมาตรการไว้ที่จะได้ข้อสรุปในไม่ช้าว่าจะดำเนินการอย่างไรให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง" นายสนธิรัตน์กล่าว
สำหรับการจัดหาพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงนั้น ทางกระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมที่จะเปิดให้มีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เตรียมแนวทางไว้แล้วให้เป็นไปตามแผนในปี 2563 ในพื้นที่อ่าวไทย 10 แปลง และบนบกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แปลง และภาคกลาง 1-2 แปลง โดยจะทำการเปิดตามความเหมาะสม ขณะเดียวกัน ในยุคของตนจะเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปถึงการพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา หรือในปี 2565
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เป้าหมายใน 6 เดือนกระทรวงฯ ได้เตรียมดำเนินการหลายเรื่องให้ชัดเจน ได้แก่ การจัดทำโมเดลโรงไฟฟ้าชุมชนที่จะนำไปสู่ 1 ชุมชน 1 โรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ เพื่อสร้างอาชีพสำหรับชุมชนและปรับกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานวงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาทให้เข้าถึงชุมชนมากขึ้น โดยคาดว่าจะเปิดให้มีการยื่นขอเงินสนับสนุนได้ภายในวันที่ 15 ก.ย.นี้ การปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (พีดีพี 2018) เป็นต้น