ผู้จัดการรายวัน360 – “อมาโด้”รุกหนักตลาดเสริมอาหาร โฟกัสคอลลาเจน สอดรับสังคมสูงวัยในไทย ชี้ตลาดรวมปีนี้ฟื้นตัวดีกว่าปีที่แล้วแน่ที่ตลาดรวมเจอวิกฤติ เผยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 300 กว่าล้านบาท ตั้งเป้าทั้งปีนี้ 700 ล้านบาท จ่อเข้าตลาดMAI
นายธนา ลิมปยารยะ (เชน) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด เดเผยว่า ตลาดรวมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ในปีนี้(2562) คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นและเติบโตอย่างต่ำ 11% หลังจากที่ปีที่แล้วตลาดรวมตกอยู่ในภาวะวิกฤติจากกรณีข่าวที่ไม่ดีจากหลายบริษัทหลายแบรนด์สินค้า ทำให้ตลาดรวมชะงักไประยะหนึ่ง
เพราะรัฐบาลได้เข้ามาเข้มงวดกับธุรกิจเสริมอาหาร มีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทำผิดกฏหมาย ไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาตรฐาน และที่โฆษณาเกินจริงจำนวนมาก ทำให้ปีนี้ผู้บริโภคจะมีความมั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางจำหน่ายมากขึ้น
อีกทั้งปัจจุบันกระแสการใส่ใจเรื่องสุขภาพมีมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งผลการวิจัยจาก TCDC เมื่อปี2561ระบุว่า ธุรกิจที่ส่งเสริมให้คนมีสุขภาพดีเติบโตขึ้นทั่วโลกถึง 10.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 122 ล้านล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ตลาดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเติบโตทุกปีต่อเนื่อง ส่วนตลาดคอลลาเจนมีการเติบโตต่อเนื่อง 10-30% ต่อปี และคาดว่ายังเติบโตโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่แนวโน้มสังคมให้ผู้สูงวัยมีอยู่มากขึ้น ส่วนลูกค้าหลักของบริษัทจะอยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี กว่า 70%
ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรก62 อมาโด้สามารถทำยอดขายรวมได้ 300 กว่าล้านบาทแล้ว และตั้งเป้าทั้งปีนี้จะมีรายได้รวม 700 ล้านบาท จากสินค้า 3 กลุ่มหลักคือ 1.กลุ่มควบคุมน้ำหนัก ด้วยรายได้ 10-15% ของรายได้ทั้งหมด 2.กุลุ่มสุขภาพผิว (กลุ่มคอลลาเจน) 80% และ 3. สินค้าทดลอง เช่น หน้ากากอนามัย ซึ่งเติบโตดีเพราะรายได้ส่วนหนึ่งมาจากที่ผู้ประกอบการายหลายรายหยุดดำเนินกิจการ และการที่ตลาดรวมเติบโตด้วย
นายธนา กล่าวต่อว่า แผนธุรกิจจากนี้ บริษัทฯมีแผนขยายตลาดเสริมอาหารโดยเฉพาะใน 4 ช่องทางหลักคือ 1.ดิสทริบิวเตอร์ สัดส่วน 95% 2.ออนไลน์สัดส่วน10% ช่องทางคีออส สัดส่วน 10% ช่องทางอื่นๆ อีก 10% เช่น วัตสัน โฮมชอปปิ้งช่องทรู
รวมทั้งจะขยายจุดจำหน่ายที่เป็น คีออส อีก 20 สาขา จากเดิมมีแล้ว 20 แห่งเองงโมเดิร์นเทรดอื่นเช่น ในเครือบิ๊กซีอีก ตั้งงบตลาดไว้ 30 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในครึ่งปีหลัง
ส่วนแผนเข้าตลาด MAI นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะนี้มีทุนจดทะเบียน 43 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนขยายธุรกิจ และคาดว่าจะเข้าตลาดได้ประมาณปี 2564 เพื่อนำเงินทุนมาขยายกิจการต่อไป