ผู้จัดการรายวัน 360 - โรงพยาบาลพญาไท 2 เน้นให้บริการดูแลสุขภาพด้วยศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และการตรวจประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคแบบเจาะลึก เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ตอบรับเทรนด์ชีวิตรักษ์สุขภาพของสังคมปัจจุบัน
นายแพทย์ อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า ล่าสุดโรงพยาบาลพญาไท 1 พญาไท 2 และเปาโล พหลโยธิน ได้ผนึกกำลังเป็นกลุ่ม PMC “พญาไท เปาโล เมดิคอล แคมปัส” นำจุดแข็งความเชี่ยวชาญของในแต่ละโรงพยาบาลมาให้บริการผู้ป่วยได้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งในกลุ่มโรคซับซ้อน เวชศาสตร์การดูแลสุขภาพ เวชศาสตร์ฟื้นฟู ศัลยกรรม และเป็น Medical Campus ที่มีการวิจัยพัฒนาทางวิชาการทางการแพทย์ เพื่อหาแนวทางรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุด
ด้านการขยายการให้บริการนั้น โรงพยาบาลเพิ่มการรับรองผู้ป่วยด้วยบริการห้องพักระดับ Premium Prestige Ward จำนวน 16 ห้อง และหอผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มเป็น 8 ห้อง รวมถึงเน้นการขยายศูนย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น เช่นปีที่ผ่านมาเปิดคลินิกเวชศาสตร์การกีฬา (Sports Medicine) เพื่อรับเทรนด์ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ และเปิด Line @ Chat กับหมอทีมชาติ เปิดศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ศาสตร์ชะลอความเสื่อมของร่างกายแบบองค์รวม และมีแผนที่จะเปิดศูนย์รักษาภูมิแพ้ เพื่อวินิจฉัย รักษาผู้ป่วยกลุ่มภูมิแพ้ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี
“ในการดูแลให้สังคมเกิดสุขภาพดีครบ 32 นั้น เราต้องรักษา และป้องกันควบคู่กันไป โดยเราเน้นขยายบริการสู่กลุ่มรักสุขภาพที่ต้องการตรวจประเมินความเสี่ยงของโรคก่อนป่วย ครอบคลุมตั้งแต่วัยแรกเกิด วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีตรวจคัดกรองประเมินความเสี่ยงของโรค (health screening) ที่เน้นแบบเจาะลึก เช่น การตรวจ Saline bubble test ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวบ่อยๆ ซึ่งอาจมีแนวโน้มเกิดโรคผนังกั้นหัวใจรั่ว หรือนวัตกรรมการตรวจค่า Urine CTX-II ตรวจหาความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อการรักษาทันเวลาโดยมุ่งเน้นการปรับสมดุล เลี่ยงการผ่าตัดข้อเข่าในอนาคต เป็นต้น” นายแพทย์ อภิรักษ์ ปาลวัฒน์วิไชย ผู้อำนวยการแพทย์ กล่าว
นายแพทย์ อภิรักษ์กล่าวว่า ข้อมูลจาก TDRI ระบุว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายสุขภาพโดยรวมของคนไทยแบ่งเป็นค่ารักษาพยาบาล 75% ค่าป้องกันและดูแลสุขภาพ 5% และมีค่าอื่นๆ เช่น ซื้อวิตามินอีก 20% โดยกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงมักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันคือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่ป้องกันได้ หากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตมาเป็นการดูแลสุขภาพ ตรวจหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เราก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนการรักษาได้เพิ่มมากขึ้น
“ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ ทำให้เราสามารถตรวจประเมินความเสี่ยงเพื่อหาสาเหตุของโรคได้แม่นยำขึ้น ในหลายกรณีผู้ป่วยไม่แสดงอาการ หรือมีอาการที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่น ทำให้เราไม่รู้สาเหตุแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพดีครบ 32 อย่างยืนยาว เราจึงควรตรวจวิเคราะห์เจาะลึกสุขภาพร่างกาย ค้นหาแนวโน้มการเกิดโรค รู้ถึงสุขภาพในเชิงลึก โดยไม่ต้องรอให้ป่วย เพื่อการวางแผนการใช้ชีวิต และออกแบบสุขภาพที่เหมาะสมรายบุคคล”
ในโอกาสครบรอบ 32 ปี โรงพยาบาลพญาไท 2 จัดทำแคมเปญ “สุขภาพดีครบ 32” ที่เน้นการตรวจหาความเสี่ยงของโรค ที่ออกแบบแพกเกจให้เหมาะสมกับทุกช่วงวัย
ช่วงวัยทำงาน 30 ปีขึ้นไป เน้นเรื่องโรคที่อาจเกิดจาการทำงาน เช่น ปวดหัว ออฟฟิศซินโดรม ปวดตาจากการใช้คอมพิวเตอร์/โทรศัพท์เคลื่อนที่ การตรวจสารโลหะหนัก โรคเครียดจากการทำงาน หมดไฟ (ต่อมหมวกไตล้า) โรคกล้ามเนื้อ/เส้นเอ็นอักเสบ โรคมะเร็ง ตรวจหาภูมิแพ้จากเลือด เป็นต้น
ช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป เน้นการปรับพฤติกรรม รับมือกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย โรคที่เกิดจากพฤติกรรม โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ ความดัน โรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน วัยทอง มะเร็ง ฯลฯ
กลุ่มแม่และเด็ก เน้นสุขภาพแม่และเด็กตั้งแต่ครรภ์ คลอด หลังคลอด เพราะการตั้งครรภ์ในปัจจุบันจะเกิดขึ้นในผู้หญิงกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ สุขภาพคุณแม่มือใหม่ พัฒนาการเด็ก
และแพกเกจทั่วไปราคา 3,200 บาท ตรวจทั้งหมด 18 รายการ
โรงพยาบาลพญาไท 2 ให้บริการด้วยศูนย์การแพทย์เฉพาะทางและศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ 30 ศูนย์ มีสัดส่วนการรักษาอยู่ที่ 80% และการตรวจประเมินความเสี่ยง 20% โดยมีจำนวนตัวเลขของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในที่เข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้น 5% เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561
“ตัวเลขการขยายตัวของโรงพยาบาลค่อนข้างจะสอดคล้องกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนก็จะได้รับผลกระทบ โดยผู้มีระดับรายได้ปานกลางขึ้นไป ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของโรงพยาบาลมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายด้านการรักษา ตลอดจนมีการหันไปใช้บริการด้านส่งเสริมสุขภาพเพิ่มขึ้นจึงยังคงทำให้โรงพยาบาลรักษาระดับการเพิ่มขึ้นของรายรับไว้ได้ คาดการณ์ว่าจำนวนของผู้ใช้บริการในครึ่งปี 62 ในไตรมาส 3 และ 4 จะอยู่ที่ 384,000 การเข้ารับบริการ (visits)” นายแพทย์ อนันตศักดิ์สรุป
ปัจจุบัน รพ.มีสัดส่วนผู้ป่วยที่เข้ามาทำการรักษากับศูนย์เฉพาะทาง ได้แก่ ศูนย์สุขภาพสตรี 30% ศูนย์สุขภาพเด็ก 20% สถาบันกระดูกและข้อ 15% และอื่นๆ 35% โดยมีสัดส่วนผู้ป่วยไทย 80% และต่างชาติ 20% ซึ่งกัมพูชาครองส่วนแบ่งสูงสุดของผู้ป่วยต่างชาติ 35%