การตลาด - ร้านซักอบผ้าหยอดเหรียญแข่งระอุ แบรนด์เครื่องซักผ้าอย่าง ไฮเออร์-แอลจี ลงลุยเอง ปะทะ เชนใหญ่ทั้งไทยและ ตปท.ที่ดาหน้ากันรุกตลาดอย่างหนัก รับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่เน้นสะดวกสบาย ส่งผลแฟรนไชส์ร้านซักผ้าเฟื่องฟู อัดโปรโมชัน ระบบงาน กันกระหน่ำแย่งตลาด
ธุรกิจการเปิดบริการร้านสะดวกซักผ้าหยอดเหรียญหรือลอนดรี้ในเมืองไทยมาถึงจุดที่เติบโตและเริ่มแข่งขันสูงขึ้น โดยเฉพาะการเข้าสู่สมรภูมิรบของแบรนด์เครื่องซักผ้ารายใหญ่เองที่กระโดดลงมาเล่นจากการเป็นเพียงซัปพลายเออร์ กับการเกิดร้านที่เป็นเชนทั้งของไทยและแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดอย่างมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ จากเดิมตลาดร้านบริการซักผ้าจะเป็นเพียงรายเล็กๆ ที่ทำกันเองในชุมชนนั้น
เหตุผลหลักต้องยอมรับว่ามาจากพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย และมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้ไม่มีเวลาซักและรีดผ้าเอง อีกทั้งการอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เป็นคอนโดมิเนียมและเป็นครอบครัวเล็กจึงมักจะใช้บริการดังกล่าวนี้ที่มีเปิดกันตามย่านชุมชน หรือตามสถานที่พักที่เป็นคอนโดมิเนียมและคอมมูนิตีมอลล์ โอกาสของธุรกิจนี้จึงถือว่ามีค่อนข้างมาก เพราะไม่เช่นนั้น แบรนด์เครื่องซักผ้าก็คงไม่กระโดดลงมาเล่นเองแน่ ไม่ว่าจะเป็น แอลจี หรือ ไฮเออร์ รวมไปถึงแฟรนไชส์ดังจากต่างประเทศที่รุกเข้ามาในไทยเป็นดอกเห็ด
“ตลาดร้านซักผ้าหยอดเหรียญอัติโนมัตินี้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เห็นได้จากขณะนี้มีผู้เล่นรายใหญ่ๆ เข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 5-7 รายแล้ว และรุกตลาดอย่างเต็มที่ด้วยระบบแฟรนไชส์” เป็นคำกล่าวของ นายปวริศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด ซึ่งก็เป็นรายใหม่ในตลาดด้วยแบรนด์ มารุ ลอนดรี้ จากญี่ปุ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวทางการแข่งขันหลักๆ จะแข่งไปที่โมเดลสำเร็จรูปในการขายแฟรนไชส์ที่มีทั้ง แผนการตลาด การบำรุงรักษาเครื่องซักผ้า การบริการทางการเงินกับสถาบันการเงิน ระบบการจ่ายเงินในการใช้บริการของลูกค้า เช่น คิวอาร์โค้ด บัตรเติมเงิน ทั้งพร้อมเพย์ วีแชทเพย์ แรบบิทไลน์เพย์ เป็นต้น
บางค่ายก็ไม่มีการเรียกเก็บค่ารอยัลตีฟี ค่าแฟรนไชส์ฟี เนื่องจากจะเน้นการขายแฟรนไชส์เพื่อต่อยอดไปยังการขายเครื่องซัก อบ ด้วยเพื่อสร้างแบรนด์ไปในตัว
*** “ไฮเออร์” ลุยเองปั้น “สมาร์ทพลัส”
นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไฮเออร์มองเห็นศักยภาพของตลาดบริการร้านซักผ้า จึงเปิดโมเดลใหม่ร้านซักผ้า 24 ชั่วโมงในไทย ชื่อ สมาร์ทพลัสบายไฮเออร์ (Smart Plus by Haier) ซึ่งประเทศที่มีโมเดลนี้ อาทิ อินเดีย ซึ่งธุรกิจนี้จะทำให้ไฮเออร์ขยายฐานตลาดเครื่องซักผ้าได้ เพราะปัจจุบันนี้มียอดขายจากเครื่องซักผ้าเพียง 640 ล้านบาทเท่านั้น จึงเป็นการสร้างแบรนด์และเข้าถึงตลาดได้
โมเดลใหม่นี้เน้นการขายแฟรนไชส์ เงื่อนไขหลักคือ ผู้สนใจต้องมีพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร งบลงทุน 2 ล้านบาท จะมีเครื่องซักผ้า 10 ตู้ และเครื่องอบผ้า 10 ตู้ เป็นตู้หยอดเหรียญ อนาคตจะเป็นสมาร์ทเซอร์วิส แต่จำนวนตู้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามขนาดพื้นที่
เบื้องต้นไฮเออร์วางแผนจะเปิดเองก่อน 10 สาขาภายในปีนี้ (2562) เน้นย่านชุมชน สถานศึกษา ที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม เปิดทดลองสาขาแรกแล้วที่รามคำแหง ใกล้กับหอพักนักศึกษา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการมาก
*** “กันยง-อัพยัง” ดัน “มารุ ลอนดรี้”
นายปวริศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท กันยง จำกัด ได้ร่วมมือกับ บริษัท อัพยัง จำกัด ผู้นำด้านอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ในนาม บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด เพื่อทำธุรกิจแฟรนไชส์ร้านซักผ้าในไทย
ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ 3 ของกลุ่มอัพยัง หลังจากที่เปิดแบรนด์คูริคูริ ที่ญี่ปุ่นไม่นานนี้ ขณะนี้มี 5 สาขา และเปิดแบรนด์อัลฟ่าในไต้หวันมา 7 ปี และเปิดแบรนด์หลักคืออัพยัง มารุลอนดรี้ กว่า 40 ปี มีมากกว่า 100 สาขา
“เราขยายเข้าสู่ตลาดไทยเพราะมีศักยภาพ ไลฟ์สไตล์คนไทยปัจจุบันมีความเร่งรีบ ไม่มีเวลาทำงานบ้าน โดยเฉพาะการซักผ้าซึ่งอาจต้องใช้เวลามาก อีกทั้งการอยู่อาศัยในเมืองอย่างคอนโดมิเนียมก็มีพื้นที่จำกัดต่อการติดตั้งเครื่องซักผ้า ดังนั้น ตลาดไทยจึงมีศักยภาพสำหรับธุรกิจบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญอย่างมาก ซึ่งบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญของ มารุ ลอนดรี้ ให้บริการแบบครบวงจร สามารถซัก-อบแห้งเสร็จด้วย 1 โปรแกรม ในเวลา 1 ชั่วโมง ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้มากขึ้น ในทางกลับกัน ผู้ลงทุนแฟรนไชส์กับเราก็มั่นใจได้ว่าธุรกิจนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน เพราะเป็นบริการที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ประกอบกับวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านในประเทศไทยที่ยาวนานกว่า 50 ปีของกันยง จึงสามารถตอบสนองได้ตรงความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี” นายปวริศกล่าว
นายบรูซ วู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อัพยัง ไต้หวัน กล่าวว่า ร้านมารุลอนดรี้ในไทยจะใช้เครื่องซักผ้าแบรนด์ อควา (AQUA) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องซักผ้าหยอดเหรีญอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีฟังก์ชันแนะนำการใช้ด้วยข้อความเสียง และแผงควบคุมการทำงานที่ง่ายต่อการใช้งาน โปรแกรมการล้างถังซักก่อนทุกครั้ง เป็นรายแรกที่มีระบบตรวจสอบเมื่อพบก๊าซรั่ว (GAS monitor system) และใช้เทคโนโลยี IoT
นายปวริศกล่าวว่า เงื่อนไขหลักของมารุลอนดรี้คือ เงินลงทุน 3 ล้านบาท (แบ่งเป็น เครื่องซักผ้าและอุปกรณ์ 6 เครื่อง ขนาดเครื่องละ 17 กิโลกรัม ราคา 2.5 ล้านบาท และค่าระบบงาน 5 แสนบาท) พื้นที่เฉลี่ยน้อยสุดคือ 50 ตารางเมตร มากที่สุดคือ 300 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันยังไม่เก็บค่าธรรมเนียม ส่วนอนาคตจะเริ่มเก็บเมื่อไรยังไม่กำหนด
แผนสร้างรายได้ประมาณการ หากวันธรรมดาและเครื่องใช้ 4 ครั้ง ส่วนวันหยุดและเครื่องใช้ 8 ครั้ง โดยเก็บเงินครั้งละ 150 บาท คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,684,800 บาทต่อปี
ขณะที่ค่าใช้จ่ายหลักๆ คือ ค่าเช่าที่เดือนละเฉลี่ย 40,000 บาท รักษาความปลอดภัยเดือนละ 1,000 บาท ค่าเบ็ดเตล็ดต่อเดือน 5,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ต่อปี 336,960 บาท หรือ 20% ของรายได้ และค่าซ่อมบำรุงรักษาต่อปี 3,700 บาท หรือ 2% ของรายได้ รวมค่าใช้จ่ายต่อปีประมาณ 892,600 บาท
โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์จะมีผลตอบแทนเป็นกำไรต่อปีประมาณ 792,140 บาท ระยะเวลาคืนทุน 3.78 ปี และมีอัตราผลตอบแทนต่อปี 12%
ในปีแรกนี้ตั้งเป้าหมายเปิดร้านมารุลอนดรี้ให้ได้ 5-10 สาขาในกรุงเทพฯ และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 25 สาขา ซึ่งจะลงทุนเปิดเองก่อนเพื่อเป็นร้านต้นแบบประมาณ 3 สาขา ที่ห้วยขวาง เอกมัย กับปุณณวิถี ส่วนตลาดต่างจังหวัดคาดว่าปลายปีหน้าจะเริ่มรุกตลาดได้ในเมืองหลักๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น มองทำเลย่านชุมชนต่างๆ รวมทั้งที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ คอมมูนิตีมอลล์
อีกตลาดที่บริษัทฯ สนใจคือ การขายเครื่องเข้าสู่ตลาดผู้ใช้ที่เป็นธุรกิจอื่นๆ เช่น ร้านสปา ร้านเสริมสวย เพราะร้านประเภทนี้มีมาก แต่ยังไม่มีใครทำตลาดนี้จริงจัง
*** “แอลจี” เปิดทางดีลเลอร์ลงสมรภูมิ
ขณะที่แบรนด์ใหญ่อีกค่ายจากเกาหลี คือ แอลจี ก็ไม่พลาดกับศึกนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แอลจีมาในนามของดีลเลอร์ที่มีความสนใจและได้เปิดโมเดลนี้ขึ้นมาเองโดยแอลจีที่เกาหลีเปิดทางให้ ซึ่งมีการทำธุรกิจร้านซักผ้าหยอดเหรียญในไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 2-3 ปีแล้ว
*** “คลีนโปร”
แบรด์คลีนโปรเป็นอีกรายใหญ่รายหนึ่งที่มาจากมาเลเซีย ซึ่งมีมากกว่า 800 สาขาในมาเลเซียแล้ว เป็นผู้นำตลาดที่มีคู่แข่งรายใหญ่มากกว่า 4 รายในมาเลเซีย ส่วนตลาดในไทยนี้บุกเบิกตลาดในไทยมานานกว่า 6 ปีแล้ว ด้วยระบบแฟรนไชส์เป็นหลัก ขณะนี้ในไทยมีสาขาแฟรนไชส์รายเดี่ยวแล้วมากกว่า 120 สาขาทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางคลีนโปรอยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์ ด้วยการมองหาผู้ร่วมทุนหรือผู้รับสิทธิ์แบบมาสเตอร์แฟรนไชส์ในแต่ละพื้นที่ไปรับผิดชอบดูแล เนื่องจากจะทำให้การขยายสาขารวดเร็วและคล่องตัวกว่าเดิมที่ขายแฟรนไชส์รายเดี่ยว ซึ่งมีแผนที่ต้องการจะขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย ปัจจุบันเริ่มบ้างแล้ว เช่นที่ ภาคใต้ ภาคเหนือ รวมกว่า 30 สาขา หรือขอนแก่น 5 สาขา
แฟรนไชส์ของคลีนโปรลงทุนประมาณ 3-4 ล้านบาท แล้วแต่รูปแบบที่มี 3 โมเดลคือ 1. คลีนโปร เอ็กซ์เพรส หลักๆ จะมี เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรม 1 เครื่อง และเครื่องซักผ้ากับอบผ้าอุตสาหกรรมแบบซ้อนกันรวม 4 ชุด เครื่องแลกเหรียญ 1 ชุด และเครื่องบัตรสมาชิก 1 ชุด, 2. จัมโบ้วอช มีเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ 5 เครื่อง เครื่องอบผ้าอุตสาหกรรมแบบซ้อน 2 ชุด เครื่องแลกเหรียญ เครื่องจำหน่ายผงซักฟอก และ 3. ไอบูซายัง มีเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์และอบผ้า 5 ชุด เครื่องแลกเหรียญ และเครื่งจำหน่ายผงซักฟอก นอกนั้นทุกโมเดลก็จะมีอุปกรณ์ต่างตามเงื่อนไข โดยทุกรูปแบบช่วงนี้ ยกเว้นค่าการตลาด 2 ปี ยกเว้นค่าแฟรนไชส์ 2 ปี
*** “ลอนดรี้บาร์” จากมาเลเซียบุกไทย
ส่วนเชนจากต่างประเทศก็ดาหน้ากันเข้ามาอีกแบรนด์คือ “ลอนดรี้บาร์” เป็นแบรนด์ใหญ่จากมาเลเซีย ซึ่งทั่วโลกมีมากกว่า 520 สาขาแล้ว ทั้งใน มาเลเซีย บรูไน ตุรกี และไทย และเตรียมขยายไปตลาดซีแอลเอ็มวี ได้เข้ามาทำตลาดในไทยไม่กี่ปีนี้เองในระบบแฟรนไชสในนามบริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่างลอนดรี้มาเลซียกับทุนไทย ปัจจุบันในไทยมีสาขาที่เปิดแล้ว เช่นที่ เชียงใหม่ 3 สาขา และที่เตรียมจะเปิดอีกเช่นที่ถนนศรีนครินทร์กรุงเทพฯ และลำปาง เป็นต้น
แหล่งข่าวจากลอนดรี้บาร์กล่าวว่า เป้าหมายจะเปิดสาขาแฟรนไชส์ให้ได้ครบ 120 สาขาภายใน 1-2 ปีนี้ เนื่องจากขณะนี้มีรายชื่อที่สนใจเข้าคิวรออยู่จำนวนมาก และเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 500 ราย ภายใน 2-3 ปีจากนี้ โดยมีการขายแฟรนไชส์ใน 3 แพกเกจหลัก โดยลอนดรี้บาร์มี 3 โมเดลแฟรนไชส์ คือ 1. แบบบรอนซ์ ลงทุน 2.1 ล้านบาท พื้นที่ 40-60 ตารางเมตร มี 4 เครื่องซักผ้า และ 4 เครื่องอบผ้า, 2. แบบซิลเวอร์ ลงทุน 2.4 ล้านบาท พื้นที่ 50-70 ตาราเมตร มี 5 เครื่องซักผ้า และ 4 เครื่องอบผ้า และ 3. แบบโกลด์ ลงทุน 3.2 ล้านบาท พื้นที่ 60-90 ตารางเมตร มี 7 เครื่องซักผ้า และ 6 เครื่องอบผ้า โดยทุกแบบจะมีเครื่องแลกเหรียญหรือโทเคนความจุ 2,000 โทเคน จำนวน 2 เครื่อง
จุดแตกต่างอีกอย่างของลอนดรี้บาร์ คือ นอกจากบริการ 24 ชั่วโมงแล้ว จะมีการบริการติดตั้งตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในร้านด้วย และพิเศษสำหรับผู้ซื้อแฟรนไชส์ ได้รับถุงลอนดรี้ขนาดใหญ่ 100 ชิ้น และน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาฆ่าเชื้อ รวม 6 ถัง
“เงื่อนไขพิเศษตอนนี้ ฟรีค่าบำรุงรักษาเครื่อง 3 ปีแรก ฟรีค่าแฟรนไชส์ 3 ปีแรก ไม่มีค่ารอยัลตีฟี ไม่เก็บส่วนแบ่งจากรายได้ และยังแถมระบบหลังบ้านแฟรนไชส์แอปสำหรับติดตามยอดขายทางออนไลน์ด้วย”
*** “อ๊อตเทริ” แบรนด์ไทยลุยสมรภูมิ
อ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย ของบริษัท เค-เน็กซ์ คอปอเรชั่น จำกัด ของไทย ก็ออกแรงร่วมศึกในขณะนี้ด้วย หลังจากเปิดมาได้ 2-3 ปี ปัจจุบันมีแล้วมากกว่า 100 สาขา และจะรุกหนักปีนี้ด้วยเป้าหมายถึง 200 สาขาให้ได้สิ้นปี 2562 นี้ สาขาใหม่ๆ เพิ่งเปิดเช่นที่กรุงเทพฯ สาขาวัดบัวขวัญ ลาดพร้าวซอย 48 พหลโยธินซอย 52 พหลโยธินซอย 53-55 นวนคร ที่ต่างจังหวัด เช่น ถนนพัทยาสาย 2 ซอย 17 หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เชียงใหม่บิสซิเนสปาร์ค เป็นต้น
กลยุทธ์หลักคือ การจัดโปรแกรมสินเชื่อให้ด้วยการร่วมมือกับทางธนาคารกสิกรไทย ให้ผ่อนได้นานสุด 6 ปี หรือเท่ากับอายุสัญญาแฟรนไชส์ ดอกเบี้ยพิเศษ วงเงินกู้สูงถึง 70% ของมูลค่าการลงทุน ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์เช่าซื้อได้สูงสุด 70% ของมูลค่าเครื่องจักร
แฟรนไชส์อ๊อตเทริมี 2 รูปแบบ คือ 1. แบบ เอ็ม ลงทุน ค่าแฟรนไชส์ เครื่อง งานระบบต่างๆ มากกว่า 2.07 ล้านบาท ค่าแฟรนไชส์ 465,000 บาท มี 5 เครื่องซักผ้า และ 2 เครื่องอบผ้า เครื่องจ่ายผงซักฟอก เครื่องแลกเหรียญ เครื่องทำน้ำร้อนระบบแก๊ส เป็นต้น ค่าการตลาดส่วนกลาง 2% ต่อเดือน ค่ารอยัลตีเริ่มชำระปีที่ 4 รวม 86,000 บาทต่อปี
2. แบบ แอล ลงทุนค่าแฟรนไชส์ เครื่อง งานระบบต่างๆ หลักๆ ประมาณ 2.8 ล้านบาท ค่าแฟรนไชส์ รวม 520,000 บาท มี 7 เครื่องซักผ้า และ 3 เครื่องอบผ้า เครื่องจ่ายผงซักฟอก เครื่องแลกเหรียญ เครื่องทำน้ำร้อนระบบแก๊ส เป็นต้น ค่าการตลาดส่วนกลาง 2% ต่อเดือน ค่ารอยัลตี เริ่มชำระปีที่ 4 เป็นต้นไป 110,000 บาทต่อปี
สมรภูมิรบร้านซักผ้าหยอดเหรียญจากนี้ไปคงต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้นแน่นอน เพราะดูแล้วแต่ละค่ายใหญ่ต่างก็เดินหน้ากันเต็มที่