xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีไทย” เบรกลงทุนในไทย ผุดฐานผลิต ตปท.-โหมโออีเอ็ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - “ศรีไทย” ปรับกลยุทธ์ มุ่งหน้าตั้งฐานผลิตในต่างประเทศเพิ่ม ชะลอลงทุนในไทย หลังจากตลาดไทยถูกสินค้าจีนกระหน่ำ แรงงานขาด ต้นทุนผลิตสูง พร้อมเน้นรับจ้างผลิตโออีเอ็มเพิ่มขึ้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ศรีไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมลามีน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ทำการปรับแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ โดยในตลาดประเทศไทยจะหันมาเน้นรับจ้างการผลิตให้บริษัทอื่นมากขึ้น จากเดิมที่เน้นผลิตสินค้าของบริษัทเป็นหลัก ล่าสุดคือการรับจ้างผลิตสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้กับกลุ่มโฮมโปร

ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนผลิตสินค้าให้ก้บแบรนด์อื่นหรือโออีเอ็มประมาณ 50% จากกำลังผลิตทั้งหมดจากเดิมเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา สัดส่วนผลิตสินค้าตัวเองมีมากกว่า 70% และรับจ้างผลิตแค่ 30% ซึ่งนอกจากตลาดรับจ้างโออีเอ็มไทยเติบโตแล้ว ยังเป็นผลมาจากการที่ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป หรือตลาดสหรัฐอเมริกา มีความต้องการสินค้านวัตกรรมมากขึ้น จึงมีออเดอร์มากขึ้นเช่นกัน อีกทั้งการที่ยอดผลิตที่แน่นอนจากโออีเอ็ม ทำให้วางแผนดำเนินการได้ดีกว่า"


ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายและมีความต้องการสินค้าราคาถูก ทำให้สินค้าจากจีนเข้ามาตีตลาดไป

นอกจากนั้นยังต้องทำการลดการผลิตสินค้าทั่วไปธรรมดาลงด้วย เพื่อหันไปมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีจำนวนไม่มากต่อรุ่นมาทดแทน และเร่งระบายสินค้าในสต๊อกให้หมดโดยเร็ว ซึ่งยังมีค้างสต๊อกกว่า 3 เดือน รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

บริษัทฯ จะชะลอการลงทุนการขยายกำลังผลิตขนาดใหญ่ในไทย เพื่อหันไปขยายและลงทุนในต่างประเทศแทน โดยมองไปที่ประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ประชากรมีรายได้ดีและมีกำลังซื้อที่สูงจะพิจารณาเข้าไปตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายในประเทศนั้นๆ เพื่อลดต้นทุนดำเนินการทางด้านขนส่งจากเดิมที่ขนส่งจากไทยไป ซึ่งตลาดที่จะไปลงทุนนั้นเป็นตลาดใหม่ที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เมลามีนมากขึ้นจากเดิมยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากกระเบื้อง

ทั้งนี้ ตามแผนงานในปี 2563 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ที่ประเทศเวียดนาม หลังจากปีที่แล้ว (2561) ได้ลงทุนสร้างโรงงานในประเทศพม่าไปแล้ว และเมื่อ 3 ปีก่อนก็ได้ลงทุนประมาณ 400 ล้านบาทตั้งโรงงานในประเทศอินเดีย


“เราต้องปรับตัว เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากตลาดในไทยที่เริ่มอิ่มตัว มีแรงงานน้อยและค่าแรงงานก็สูงขึ้น รวมไปถึงสินค้าจากจีนเข้ามาตีตลาดด้วยราคาที่ถูกกว่าเท่าตัว ตั้งเป้าหมายช่วยให้ปี 2562 นี้มียอดขายรวม 9,880 ล้านบาท เติบโต 3% แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากไทย 75% และต่างประเทศ 25%


กำลังโหลดความคิดเห็น