“สนธิรัตน์” ระดมสมองผู้บริหารระดับสูงและเจ้าาหน้าที่กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานในสังกัดเร่งสกัดบทบาทบูรณาการยกระดับพลังงานเข้าถึงประชาชน หนุนแนวคิด CEO “ปตท.” ดันพลังงานจากพืชเกษตรมาขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มมูลค่า เล็งถกจันทร์นี้วางเป้างานเร่งด่วน จ่อปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อ LPG ให้เข้าถึงประชาชน หนุนโซลาร์รูฟภาคประชาชนเพิ่มรายได้ชาวบ้าน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดทิศทางและนโยบายของกระทรวงพลังงานโดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงพลังงาน ว่าที่ประชุมได้เห็นตรงกันว่าจะร่วมบูรณาการทำงานด้วยกันเพื่อเป้าหมายประชาชนและประเทศชาติโดยเฉพาะเน้นพลังงานจากพืชเกษตรที่จะมาเป็นหนึ่งในมิติขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่จะต้องมีการยกระดับมากขึ้นเช่น ปาล์มน้ำมันที่จะนำมาผลิตไบโอดีเซลบี 7 บี 20 และบี 20 และอ้อยที่จะนำมาผลิตเป็นเอทานอล เป็นต้น ที่จะยกระดับ อย่างไรก็ตามวันที่ 22 ก.ค. 62 จะมีการประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อกำหนดเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้ต่อเนื่องจากนั้นจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำกรอบการดำเนินงานในระยะ 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค. 62)
“คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ได้เสนอความเห็นพลังงานบนดินจากพืชเกษตรมาขับเคลื่อนนโยบายซึ่ง ปตท.เสนอหลักการที่ดีและจะต้องมองให้ครบทุกมิติที่ไม่ใช่แค่ว่าเราจะซื้อพลังงานมาใช้ต้องมองแง่การบริหารจัดการในระดับภูมิภาคซึ่งคือความแข็งแกร่งในเรื่องของที่ตั้งและ ภาคเกษตรที่เข้มแข็งของไทยที่ต้องไม่ได้มองเรื่องการอุดหนุนราคาเพราะพืชพลังงานจะต้องมองภาพให้ใหญ่ขึ้นเพื่อลดการนำเข้าและนำไปสู่ความเข้มแข็งด้วยการต่อยอดไปสู่ Bio Economy ในระยะยาว” นายสนธิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ยังเห็นตรงกันที่จะผลักดันให้พลังงานมองในมิติของการสร้างโอกาสทางรายได้ ลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนเช่น กรณีการใช้กลไกของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้ในการซื้อพลังงานที่ขณะนี้ใช้ซื้อส่วนลดราคาแอลพีจีครัวเรือน 45 บาทต่อ 3 เดือนนั้นจะปรับเงื่อนไขอย่างไรให้เข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการพัฒนาพลังงานทางเลือกให้กับชาวบ้าน เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัยภาคประชาชน (โซลาร์ภาคประชาชน) ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าประชาชนยังไม่นิยมติดตั้งเท่าที่ควร จำเป็นจึงต้องมาพิจารณารายละเอียดต่อไปว่าเพราะเหตุใด และจะปรับเงื่อนไขหรือไม่อย่างไร รวมถึงทำอย่างไรให้มีการสะสมพลังงานไว้ใช้กลางคืนด้วย
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ส่วนบทบาทของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คงจะต้องมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรให้มีบทบาทที่จะเกิดความสมดุลของการบริหารจัดการไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐต้องมีสัดสว่นไม่น้อยกว่า 51% ที่ต้องดูรายละเอียดอย่างรอบคอบ เป็นต้น
“การหารือดังกล่าวหากเห็นว่าบางเรื่องมีประโยชน์ก็อาจจะนำไปเพิ่มเติมหรือเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงต่อรัฐสภา 25 ก.ค.นี้” นายสนธิรัตน์กล่าว