“อาคม” ตีกลับผลเจรจาต่อสัญญาทางด่วน 30 ปี จำนวน 3 โครงการ แลกกับการยุติข้อพิพาทและล้างหนี้พิพาท 5.9 หมื่นล้าน ให้ กทพ.ตรวจสอบใหม่ตามข้อสังเกตอัยการสูงสุด ลุ้น รมว.คมนาคมคนใหม่พิจารณาแนวทาง
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า จากที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้รายงานความคืบหน้าผลการพิจารณากรณีการยุติข้อพิพาทระหว่าง กทพ. กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และ บริษัท ทางด่วนเหนือ จำกัด (NECL) จำนวน 17 เรื่อง มีมูลค่าฟ้องร้องกว่า 1.37 แสนล้านบาท และเจรจาปรับลดมูลค่าเหลือ 5.9 หมื่นล้านบาท โดยการขยายสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน A, B, C), ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C บวก) ออกไป 30 ปี มายังกระทรวงคมนาคม และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนนั้น
ต่อมา กทพ.ได้ส่งรายงานความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดเพิ่มเข้ามา ซึ่งพบว่าอัยการสูงสุดมีข้อสังเกตในหลายประเด็น ดังนั้น รมว.คมนาคมจึงให้ส่งเรื่องผลการพิจารณาต่อสัญญาทางด่วนดังกล่าวกลับไปให้กทพ.แล้วตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยให้ กทพ.ดำเนินการตามข้อสังเกตของอัยการสูงสุดให้ครบถ้วนก่อน
ทั้งนี้ ประเด็นข้อสังเกตของอัยการสูงสุดที่กระทรวงคมนาคมเห็นว่าสำคัญและจำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องให้รอบคอบก่อน คือ สัญญาสัมปทานทางด่วนทั้ง 2 โครงการ เป็นโครงการร่วมทุนซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดังกล่าวออกไปถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่
ขณะที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 จะมีการกำหนดไว้ว่าหลังหมดสัญญาจะดำเนินการอย่างไร ส่วนสัญญาทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด เป็นโครงการที่มีข้อพิพาทคดีทางแข่งขัน ดังนั้นการนำ 2 เรื่องมารวมกันทำได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอหลังจากมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรในคดีทางแข่งขันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2561 ให้ กทพ.จ่ายเงินชดเชยแก่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด กรณีมีการสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต เป็นทางแข่งขันวงเงิน 4,200 ล้านบาท