xs
xsm
sm
md
lg

คนจีนติดหนึบโซเชียล-ชอปปิ้งออนไลน์ ประตูนำ 'แบรนด์ไทย' บุกจีนมีแต่รวย!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


การตลาด - ไขก๊อกกลยุทธ์ดันแบรนด์ไทยพิชิตตลาดจีน ทำแล้วมีแต่รวย! ปัจจุบันสำเร็จแค่ 100 กว่าแบรนด์ หลังไทยดูดเงินจีนเข้าประเทศมากกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี นาทีนี้ "ดิจิทัลมาร์เกตติ้ง" มาแรงสุด สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและทำยอดขายทะลุเป้าหมายได้ภายใน 5 นาที เหตุคนจีนติดโซเชียลอย่างหนัก เกิดพฤติกรรมชอปปิ้งออนไลน์ลิสซึ่มต้องชอปอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และ 'อินฟลูเอนเซอร์' นั่งแท่นผู้ทรงอิทธิพลมีความน่าเชื่อถือกว่าคนข้างตัว งานนี้อยากเกิดในจีน ใช้งบเพียงหลักแสนขึ้นก็เป็นเศรษฐีได้

จีน ขึ้นชื่อว่าเป็น 'พี่ใหญ่' แห่งเอเชีย ที่พยายามขึ้นเป็นผู้นำโลกในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ที่พบว่าโลกออนไลน์หรือดิจิทัลมาร์เกตติ้งของจีน ประกอบด้วย อีคอมเมิร์ซ ท่องเที่ยว และดิจิทัลมีเดีย ในปี 2562 นี้คาดว่าจะมีมูลค่า 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก อันดับสองคือ สหรัฐอเมริกา มูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับสาม คือ ยุโรป มีมูลค่าเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบจากปีก่อน จีนอยู่ที่ 765,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่งแซงขึ้นเป็นอันดับหนึ่แทนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 698,000 ดอลลาร์สหรัฐ และอันดับสาม คือ ยุโรป มีมูลค่า 434,000 ดอลลาร์สหรัฐ

60 วินาที 'จีน' ยืนหนึ่งใช้งานโซเชียลเทียบทั้งโลก
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตลาดดิจิทัลมาร์เกตติ้งของจีนมีมูลค่าเป็นอันดับ 1 ของโลกนั้น เนื่องจาก 1. จีนมีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,420 ล้านคน และกว่า 829 ล้านคนเป็นผู้ใช้งานและเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งในจำนวนดังกล่าวกว่า 98.6% เข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยมือถือ ขณะเดียวกันจีนได้พัฒนาแอปพลิเคชันมากขึ้นเพื่อให้บริการและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับสังคมออนไลน์ ทำให้มีกว่า 30 แอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมมากมาย เช่น BAIDU, WECHAT, QQ, WEIBO, TAOBAO และ ALIPAY เป็นต้น

โดยมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียของจีน ในช่วงเวลาเพียง 60 วินาทีพบว่าในส่วนของเสิร์ชเอนจินผ่านแอปพลิเคชัน BAIDU มีจำนวนถึง 4,166,667 ครั้ง ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับกูเกิลที่ทั่วโลกใช้ในเวลาเท่ากันมีเพียง 3,500,000 ครั้ง และการใช้งานแบบ NETIZEN BROWSE ของจีนผ่านแอปพลิเคชัน WEIBO มีการใช้งานถึง 1,650,463 ครั้งใน 60 วินาที สูงกว่าทั่วโลกที่มีการใช้งานผ่าน Twitter ที่ใช้เพียง 400,000 ครั้งเท่านั้น

อินฟลูเอนเซอร์จีนบูมสุดขีด ทำเงินหลักล้านต่อ 1 โพสต์
การที่ตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนยังเติบโตต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจาก Influencer หรือผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ของจีน ซึ่งเกิดขึ้นมาได้ 10 ปี ปัจจุบันคาดว่ามีจำนวนรวมทั้งสิ้น 2-3 ล้านคน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กลุ่มที่เป็นดาราระดับท็อป อัตราการจ้างโพสต์รีวิวเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้งต่อโพสต์ และสูงสุดที่เคยทำไว้ คือ 'ฟ่านปิงปิง' ก่อนมีปัญหาเรื่องเลี่ยงภาษี เคยทำได้ 40 ล้านบาทต่อการโพสต์ 1 ครั้ง ซึ่งครั้งนั้นเป็นสินค้าแบรนด์ไทยด้วย และยังมีดาราไทยที่ดังในจีนที่ถูกจ้างให้โพสต์รีวิวสินค้าจีนเช่นกัน เฉลี่ยอยู่ที่หลักล้านบาทขึ้นไป ซึ่งดาราไทยเหล่านี้จะต้องมียอดผู้ติดตามไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนด้วย 2. กลุ่มที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง อัตราการจ้างโพสต์รีวิวต่อครั้งเฉลี่ยตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาทขึ้นไป

ทั้งนี้ จากข้อมูลของฟรอสต์และซูลิแวน แสดงให้เห็นถึงในปี 2560 ยอดขายที่เกิดจากอินฟลูเอนเซอร์คนจีน สูงถึง 32,900 ล้านหยวน (4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่าจะสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่มั่นคงได้ถึง 40.4% ในอีกห้าปีข้างหน้า ขณะที่แฟนคลับที่ติดตามอินฟลูเอนเซอร์นั้น กว่า 80% เป็นกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียมหรือคนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1981 ถึง 1996 (อายุ 23-38 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศจีน

ที่สำคัญ อินฟลูเอนเซอร์จีนมีมาตรฐานระเบียบรองรับและมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการหาข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงข้อมูลจากภาครัฐก็ตาม จนปัจจุบันสามารถกล่าวได้ว่า คนจีนให้ความเชื่อถืออินฟลูเอนเซอร์มากกว่าคนสนิทใกล้ตัว

จีนเสพติดชอปออนไลน์ เฉลี่ย 41% สูงกว่าทั่วโลก
ทั้งนี้ ยังพบว่าข้อมูลจาก PwC total Retail 2017 พบว่าคนจีนมีค่าเฉลี่ยเสพติดการชอปปิ้งออนไลน์ที่ 41% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 37% เนื่องจากจีนมีแพลตฟอร์มโซเชียลเอื้อต่อการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้พฤติกรรมการชอปปิ้งออนไลน์ของคนจีน แบ่งออกเป็น 1. ชอปทุกวัน มี 7% 2. สัปดาห์ละครั้ง มี 45% 3. เดือนละครั้ง มี 27% 4. ปีละ 2-3 ครั้ง มี 11% 5. ปีละ 1 ครั้ง มี 2% และ 6. ไม่เคยชอปออนไลน์เลย มี 7% ขณะที่ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมนักชอปออนไลน์ทั่วโลก พบว่า 1. ชอปทุกวัน มี 3% 2. สัปดาห์ละครั้ง มี 11% 3. เดือนละครั้ง 19% 4. ปีละ 2-3 ครั้ง มี 21% 5. ปีละ 1 ครั้ง มี 8% และ 6. ไม่เคยชอปออนไลน์เลย 38%

นอกจากนี้ยังพบว่าคนจีนที่มีการชอปออนไลน์มากสุด คือ ช่วงอายุ 29-39 ปี สัดส่วน 30% รองลงมาคือ 39-49 ปี ประมาณ 15-20% ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุแม้จะมีสัดส่วนน้อยอยู่ราว 10-15% แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด และเมื่อแยกตามที่ตั้งหรือทำเลแล้ว กลุ่มพื้นที่เทียร์ 3-4 หรือเขตจังหวัดมณฑลที่ห่างไกลออกไปเมืองใหญ่ เช่น ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือของจีน ตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น จากเดิมที่จะเล่นกันที่เทียร์ 1-2 และพื้นที่มณฑลที่ติดกับเมืองหลวงอย่าง ปักกิ่ง

แต่การตัดสินใจซื้อแต่ละครั้งจะต้องผ่านการหาข้อมูลมาแล้วหลายๆ ครั้ง และสำหรับสินค้าที่ขายดีบนโลกออนไลน์ คือ สินค้าราคา 200 หยวน หรือประมาณ1,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในชีวิตประจำวันที่จำเป็นต้องกินต้องใช้

โอกาสแบรนด์ไทยแกร่งในจีนผ่านโลกโซเชียล
ชฎากร ธนสุวรรณเกษม ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เกตติ้งในจีนระดับแนวหน้าของเอเชียในเครือ บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า การเติบโตทางด้านออนไลน์ของจีนที่กำลังเกิดขึ้นเป็นโอกาสของแบรนด์ไทยที่จะเข้ามาทำตลาด เพราะเป็นช่องทางที่ใช้งบไม่สูงแต่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องเลือกใช้ให้เป็น สามารถใช้เงินลงทุนตั้งแต่ระดับหลักแสนบาทขึ้นไป ก็สามารถเป็นที่รู้จักในจีนได้

โดยเฉพาะการใช้ Influencers Marketing ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในกลยุทธ์ทางการตลาดประเทศจีน ซึ่งพบว่าในปี 17 ยอดขายที่เกิดจากอินฟลูเอนเซอร์คนจีนสูงถึง 32,900 ล้านหยวน หรือ 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะโตสะสมกว่า 40.4% ทั้งนี้ กว่า 80% ของแฟนคลับที่ตามอินฟลูเอนเซอร์เป็นกลุ่มมิลเลนเนียมที่มีอายุ 23-38 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงสุดของจีน

"ารเลือกใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องเลือกให้ตรงกับแบรนด์ เช่น รถมินิคูเปอร์ เลือกอินฟลูเอนเซอร์ด้านไลฟ์สไตล์ ชูเรื่องสีฟ้ามาแรง สุดท้ายเมื่อโพสต์รถมินิสีฟ้าลิมิเต็ด ที่มีเพียง 100 คันออกมา เพียง 5 นาทีขายหมดเกลี้ยง"

และการ Social Commerce เป็นการต่อยอดจาก Influencer marketing เป็นการตลาดที่ผสมผสานระหว่าง Social media กับ e-commerce เพื่อสร้าง demand ให้กับสินค้า เช่น สาวจีนที่ค้นหาชุดใหม่สำหรับออกเดต เธอพบเสื้อผ้าแฟชั่นมากมายบน Taobao e-commerce platform ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อชุดไหนดี ในขณะที่ influencer ที่เธอติดตามบน Weibo review 10 look แต่งหน้าและแฟชั่น สำหรับ Summer นี้ มาพร้อมคูปองส่วนลดไปยังร้านค้าออนไลน์ ซึ่งแบบหลังนี้จะทำให้มีโอกาสสูงมากที่เธอจะซื้อทั้งกระโปรงสีแดงที่ Influencer สวมใส่ รวมทั้งเครื่องสำอางที่ Influencer แนะนำว่าต้องมี

ที่สำคัญ จีนชื่นชอบประเทศไทยและสินค้าไทย จากข้อมูล Tmall บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งแบบ B2C และ C2C พบว่าในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาสินค้าไทยที่ขายดีที่สุด ได้แก่ สินค้าในกลุ่มสกินแคร์&เครื่องสำอาง, ผลไม้อบแห้ง และข้าว และมีมูลค่าการซื้อขายโดยรวมประมาณ 2 ล้านครั้งต่อเดือน

ปัจจุบันแบรนด์ไทยเข้าไปทำตลาดในจีนแบบจริงจังมีกว่า 100 แบรนด์ ทั้งแบรนด์ใหญ่และเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งประสบความสำเร็จและผิดหวัง ซึ่งมองว่าการที่แบรนด์ไทยจะเข้ามาทำตลาดในจีนอย่างจริงจังนั้นจะต้องเข้าใจใน 5 เรื่องต่อไปนี้ 1. รีโพซิชันนิ่งแบรนด์และการปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าให้เข้ากับการตลาดท้องถิ่น เพราะจีนมีขนาดใหญ่ แต่ละพื้นที่มีการใช้ภาษาและพฤติกรรมต่างกัน 2. เวลาและประสบการณ์มีความสำคัญในการทำตลาด 3. ต้องทำรีเสิร์ชการทำตลาดจริง 4. ต้องมีดิสทริบิวเตอร์และเข้าใจในกฎระเบียบ และ 5. ควรจดเครื่องหมายการค้า

"การจะทำตลาดในจีนให้ประสบความสำเร็จในวันนี้ ที่สำคัญจะต้องมีดิสทริบิวเตอร์และพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง ต้องมีการวางแพลนดิจิทัลมาร์เกตติ้งทุกๆ 3 เดือน มีการทำตลาดร่วมกับดิสทริบิวเตอร์ และควรสร้างแบรนด์ดิ้งด้วยตนเอง"

ไทยดูดเงินจีนกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
โอกาสในตลาดจีนยังมีสูงมาก เพราะคนจีนชื่นชอบประเทศไทย สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ 1. ส่งออก ซึ่งจีนเป็นตลาดหลักอันดับ 1 ในการส่งออกสินค้าไทยไปขายยังต่างประเทศ ด้วยมูลค่าการส่งที่มากถึง 9.6 แสนล้านบาท และ 2. ท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสำรวจพบว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่เมืองไทย โดยในปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 10.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8-10% ในแต่ละปี โดยมีการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 51,380 ล้านบาท โต 4.5%
กำลังโหลดความคิดเห็น