ผู้จัดการรายวัน 360 - “สหพัฒน์” ชี้ค่าเงินบาทแข็งเร็วผิดปกติ ชี้ธุรกิจต้องปรับตัวรับไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว สเกลดาวน์ธุรกิจเท็กซ์ไทล์ลงทุนต่อเนื่องครึ่งปีหลัง เผยโครงการใหม่ๆ เพียบ มาม่าครึ่งปีแรกโต 11% แชร์เพิ่มเป็น 51%
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเปิดงานสหกรุ๊ปแฟร์ครั้งที่ 23 ที่ไบเทค ว่า เอกชนต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกรวมทั้งเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าหากไม่ปรับตัวเตรียมจอดป้ายหน้าได้เลย ตอนนี้บริษัทใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันเริ่มกลายเป็นบริษัทเล็กและบริษัทเล็กเริ่มกลายเป็นบริษัทใหญ่เพราะเรื่องเทคโนโลยี
ประเทศไทยเองที่เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ตอนนี้ญี่ปุ่นเปลี่ยนไปใช้ 5 จีแล้ว มีการใช้บิ๊กดาต้าต่างๆ ไทยเราในฐานะผู้ผลิตถ้าไม่ปรับตัวก็ไม่สามารถจะเป็นซัปพลายเชนต่อเนื่องให้ญี่ปุนต่อไปได้
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากและเร็วแบบผิดสังเกต จากช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แต่พอมาช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกเป็น 30-31 บาทแล้ว
ค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงก็อาจจะส่งผลดีต่อธุรกิจบางกลุ่ม แต่ส่งผลเสียต่อธุรกิจบางกลุ่มเช่นกัน พวกธุรกิจส่งออกจะแย่ถ้าเจอค่าเงินบาทแข็งแบบนี้ เพราะออเดอร์ก็จะลดลง จริงๆ แล้วค่าเงินบาทควรจะขึ้นลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
นายบุณยสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้ยังไม่ค่อยดี กำลังซื้อไม่ค่อยกระเตื้อง เงินจะสะพัดในระบบกับกลุ่มบน ส่วนกลุ่มรากหญ้านั้นไม่ค่อยดี ส่วนเรื่องการเมืองก็ยังไม่ชัดเจนหลังจากมีการเลือกตั้งผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้วยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ซึ่งช้ามากไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งหากช้ากว่านี้อีก 1 เดือนจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมากขึ้น
“ตอนนี้ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป ทำให้ธุรกิจอาหารมีการเติบโตมากขึ้น ในส่วนของสหพัฒน์เองก็โตดี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เติบโตมากกว่ากลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น มาม่า ฟาร์มเฮ้าส์เติบโตมาก เราก็จะขยายกลุ่มอาหารต่อเนื่องด้วย”
ในส่วนของสหพัฒน์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเท็กซ์ไทล์ ที่ต้องใช้นวัตกรรมเข้ามาใช้ในการผลิต และขยายกลุ่มเป้าหมายสู่องค์กรมากกว่าเอนด์ยูสเซอร์ รวมทั้งจะต้องลดขนาดธุรกิจลง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมไม่มีการชะลอการลงทุนเพียงแต่ปรับแนวคิดในการทำธุรกิจ โดยรายได้รวมปีที่แล้วของทั้งเครือมีประมาณ 3 แสนล้านบาท
นายบุณยสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ครั้งที่ 23 นี้จะมีการเซ็นสัญญาหลายโครงการ เช่น การลงนามสัญญามาสเตอร์ไลเซนซีสิทธิ์คุมะมงระหว่างบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เอดีเค อีโมชั่น ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของลิขสิทธิ์คุมะมง, โครงการความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีพลังงานในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์กับ บริษัท เจนเนอรัลอิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น จำกัด และบริษัท อิมแพคโซลาร์, ความร่วมมือด้านการสนับสนุนการศึกษาระหว่างเครือสหพัฒน์กับโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจ กรุงเทพฯ, ความร่วมมือพัฒนาสิทธิประโยชน์แก่สมาชิก ฮิสแอนด์เฮอร์ กับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น, ความร่วมมือระหว่างบริษัทโซจิทสึ (ประเทศไทย) จำกัด กับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), ความร่วมมือระหว่างบริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาม่ามียอดขายรวมครึ่งปีแรกเติบโต 11.6% ขณะที่ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโต 6.5% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีมาม่าจะโต 10.5% มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 5% มีรายได้รวม 10,350 ล้านบาท โดยขณะนี้มาม่ามีส่วนแบ่งเป็น 51% เพิ่มขึ้นมา 3% ซึ่งไม่เคยมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นในช่วงเดียวมากถึง 3% มาก่อน