xs
xsm
sm
md
lg

“เมก้า ไลฟ์ฯ”โหมตลาดแอฟริกา อัด1.2พันล.ผุดฐานผลิตสินค้าใหม่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360 – “เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์” เดินหน้าเปิดตลาดใหม่ในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ขยายการลงทุนสร้างโรงงานใหม่ ทั้งในประเทศ ตั้งเป้าเติบโตก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าภายในปี 2568

นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Chief Coach ของบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า บริษัทฯวางแผนขยายตลาดใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายหลักยังคงเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและลาตินอเมริกา แอฟริกาใต้เขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา และประเทศในเครือรัฐเอกราช (CIS)

ในปี2562นี้ บริษัทฯจะเปิดตลาดในประเทศเนปาล โคลัมเบีย และขยายตลาดในประเทศเอธิโอเปีย และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกามากขึ้น คาดว่าตลาดเหล่านี้จะเติบโตที่ดีในอีก 5-7 ปีข้างหน้า และกำลังทบทวนการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการประเมินศักยภาพการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย



ทั้งนี้บริษัทฯจะใช้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งได้ลงทุนบางส่วนไปแล้วจนถึงเดือนมีนาคม 2562 และส่วนที่เหลือจะลงทุน ในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยเงินลงทุนจำนวน 600 ล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโรงานแห่งใหม่ที่ประเทศเมียนมา ภายใต้กิจการร่วมค้า เมก้า เอ็มเอสเอ็น (เอ็มเอสเอ็น แลบบอราทอรี่ เป็นบริษัทวิจัยที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศอินเดีย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2562 เพื่อผลิตยารักษาโรคใหม่ เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาโรคเบาหวาน และยารักษาโรคหัวใจ เริ่มจำหน่ายในปี 2565/2566

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา เพื่อสนับสนุนธุรกิจโลจิสติกส์และการบริการกระจายสินค้า โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14000 และเป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติด้านการจัดจำหน่ายที่ดีตามมาตรฐานโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการก่อสร้างพื้นที่สำนักงานในประเทศเมียนมาด้วยเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562

ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 500 ล้านบาท จะลงทุนขยายโรงงานใหม่ที่บางปู ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานปัจจุบันของบริษัทฯ จะประกอบด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ,คลังเก็บสินค้า และโรงงานผลิตยาชนิดเหลว ซึ่งเป็นการเพิ่มประเภทใหม่สำหรับยาตามใบสั่งแพทย์และสมุนไพรสำหรับเด็กไว้ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563

บริษัทฯมียอดขายเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยต่อปีถึง 12.1% ตั้งแต่ปี 2553-2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่ม 19.4% ในไตรมาส 1 ปี 2562 โดยทำการตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์ยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ใน 33 ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก และบริการธุรกิจโลจิสติกส์และบริการกระจายสินค้าสำหรับยาและสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCGs) ในประเทศเมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา ตั้งเป้าหมาย เติบโตก้าวกระโดด2 เท่าในปี 2568 โดยปี2561มีรายได้รวม 10,342 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,206 ล้านบาท โดยแยกตามกลุ่มคือ กลุ่มเมก้าวีแคร์ รายได้ 5,417 ล้านบาท กลุ่มแม็กซ์แคร์ รายได้ 4,642 ล้านบาท และกลุ่ม กลุ่มรับจ้างผลิต รายได้ 283 ล่านบาท



ส่วนความคืบหน้าบริษัท เมก้า มาลี จำกัด ที่ร่วมทุนระหว่างเมก้าและบริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มีผลิตภัณฑ์แบรนด์ DR.DRINK ออกสู่ตลาดแล้ว 2 รายการ ได้แก่ AK-TIV และ D-GEST .เครื่องดื่มทั้ง 2 รายการดังกล่าวผลิตจากส่วนผสมจากพืช 100% (plant-based ingredients) ปราศจากสารเคมี
“เราเชื่อว่า เส้นทางสุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง โดยมีอาหารเป็นกุญแจสำคัญ เมก้าจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้ การดำเนินธุรกิจของเมก้ามีจุดมุ่งหมายมากกว่าการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ในราคาที่ไม่แพง เพื่อช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี แต่เรายังมองการส่งเสริมสุขภาพในแต่ละช่วงวัย เราจึงมีเบบี้ เนเชอร่า อาหารเด็กออแกนิก ศูนย์เวลเนส วี แคร์ที่กำลังเติบโตกลายเป็นแหล่งความรู้ในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นโรคและการกลับมาเป็นซ้ำของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ซึ่งจะช่วยลดภาระของภาครัฐฯ ในระบบการดูแลสุขภาพ และสาธารณสุขในภาพรวม ครัวปราณาที่สร้างสรรค์เมนูสุขภาพที่เน้นพืชเป็นหลัก เราหวังจะได้เห็นผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยไม่ต้องใช้ยาหรือลดการใช้ยาเป็นเวลานาน ความมุ่งมั่นนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์"

“ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจในประเทศไทย เมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราอย่างแท้จริง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการบริษัทไบโอ-ไลฟ์ มาร์เก็ตติ้ง เอสดีเอ็น บีเอชดี หนึ่งในบริษัทอาหารเสริมสุขภาพชั้นนำของประเทศมาเลเซีย และการได้มาซึ่งสิทธิความเป็นเจ้าของในผลิตภัณฑ์ยาของบริษัทแซนดอส จีเอ็มบีเอช (Sandoz GmbH) ในประเทศเมียนมาและประเทศเอธิโอเปีย เป็นการก้าวเดินทางธุรกิจที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเติบโตในระดับภูมิภาคของเมก้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับบรรเทาอาการเจ็บปวด อาการภูมิแพ้ และสุขภาพทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูจิก้า (Eugica) เพื่อบรรเทาอาการไอจากหวัด กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ และไบโอไลฟ์ โพรไบโอติกส์ และยาตามใบสั่งแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูง ต่างมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 10 รายการ” นายวิเวก กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น